posttoday

หญิงอินเดีย 670 ล้านคนไม่ปลอดภัย? สะท้อน Maharaja และคดีข่มขืนแพทย์เขย่าโลก

01 กันยายน 2567

เปิดมุมมืดในอินเดีย ผ่านภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์กระแทกใจคนดูอย่าง Maharaja และภาพความจริงของคดีข่มขืนแพทย์สาวในโกลกาตา ซึ่งก่อให้เกิดการประท้วงติดต่อกันยาวนานหลายสัปดาห์ เพื่อทวงหาพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้หญิงกว่า 670 ล้านคนในอินเดีย ที่ถูกมองว่าอยู่ต่ำกว่า ‘วัว’

สิงหาคม เป็นเดือนที่ภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ว่ากันว่าเป็น น้องๆ John Wick เข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์ม Netflix ให้คนทั่วโลกได้ดื่มด่ำกับโปรดักชั่นจัดเต็มจากอินเดีย และเส้นเรื่องที่หลายเว็บไซต์ต้องเอามารีวิวกันแบบอดไม่ได้ ถึงการหักมุมและสะท้อนสังคมได้แบบเปิดเผย ไม่หมกเม็ด! พร้อมสัญญะจิกกัดที่ว่า ‘หรือผู้หญิงจะมีค่าเท่ากับถังขยะ’ ถึงเกิดการข่มขืนและทำร้ายได้หน้าตาเฉย!

และในเดือนเดียวกัน เราก็ได้เห็นข่าวที่ดังไปทั่วโลกเช่นกัน เมื่องแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขรวมถึงประชาชนนับแสนคน รวมตัวประท้วง จากเหตุการณ์แพทย์สาวที่ถูกข่มขืนขณะที่พักผ่อนจากการเข้าเวรทำงานอย่างหนักติดต่อกันกว่า 36 ชั่วโมง!

เกิดอะไรขึ้น? ในสังคมอินเดีย ประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลกหรือกว่า 1.43 พันล้านคน และกว่า 670 ล้านคนเป็นผู้หญิง!

(ต่อไปนี้จะมีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์ Maharaja)

 

หญิงอินเดีย 670 ล้านคนไม่ปลอดภัย?  สะท้อน Maharaja และคดีข่มขืนแพทย์เขย่าโลก

 

  • Maharaja ภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ดึงประเด็นการข่มขืนผู้หญิงขึ้นมาเล่าแบบล้างผลาญ

 

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเรื่องนี้ในมุมมองของผู้เขียน คือ การใช้สัญญะ ‘ถังขยะ’ กับสิทธิของ ‘ผู้หญิง’ ในสังคมอินเดีย เมื่อเรื่องเปิดตัวด้วยการตามหา ‘ถังขยะ’ ของตัวเอกของเรื่องอย่าง มหาราชา เขามาแจ้งความตามหาถังขยะ ซึ่งดูเป็นเรื่องไร้สาระที่สุดในมุมของตำรวจ จนกระทั่งมหาราชาต้องจ่ายเงินให้การตามหาถึง 300,000 รูปี ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่พอจะทำให้คนหันมามองความสำคัญของ ‘ถังขยะ’ ชิ้นนี้ว่าได้ซุกซ่อนอะไรที่มีมูลค่ามากกว่านั้นหรือไม่

 

จนกระทั่งความจริงเปิดเผยว่าสิ่งที่เขาตามหาจริงๆนั้น ไม่ใช่ถังขยะ แต่คือคนร้ายที่ก่อคดีข่มขืนลูกสาวของเขา ‘การตามหาถังขยะ’ จึงเปรียบได้กับการตามหา ‘ความยุติธรรมให้แก่ผู้หญิง’ แม้ว่าคนในสังคมจะมองข้ามสิ่งนี้และไม่เห็นความสำคัญ เปรียบได้กับถังขยะที่คนมองข้ามนั่นเอง

 

ความยุติธรรมให้แก่ผู้หญิงที่ถูกข่มขืน กว่าคนจะเห็นค่า ต้องมีการยัดเงินใต้โต๊ะให้กับตำรวจ ต้องทำให้คนสงสัยว่านอกจากเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว มันจะมีอะไรซุกซ่อนที่มีค่ามากกว่านั้นหรือไม่ เช่น เพชร หรือทอง ซึ่งคนยินยอมจะตามหาและเห็นความสำคัญมากกว่า ผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนข่มขืนด้วยซ้ำ!

 

อีกเรื่องหนึ่งคือในมุมของผู้ร้าย ผู้หญิงที่เขาทำร้าย ล้วนแล้วแต่เป็นแค่วัตถุ เป็นแค่ถังขยะ เท่านั้น จนผลสุดท้ายที่รู้ว่า ‘หากผู้หญิงคนนั้นเป็นคนในครอบครัว’ เขาคงจะติดต่างออกไป

 

หญิงอินเดีย 670 ล้านคนไม่ปลอดภัย?  สะท้อน Maharaja และคดีข่มขืนแพทย์เขย่าโลก

 

สิ่งที่น่าเสียดายอย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ภาพการนำเสนอความเสียหายของเหยื่อที่ถูกข่มขืนไม่ได้รับการสะท้อนให้ละเอียดอ่อนได้ดีพอ ดูเหมือนเหยื่อจะสามารถก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดหลังข่มขืนได้ง่ายดายมากเกินไป และมากกว่าที่ ‘พ่อ’ คือตัวเอกอย่างมหาราชา ก้าวข้ามได้ด้วยซ้ำ เพื่อส่งไปที่ตอนสุดท้ายคือการประจันหน้าระหว่าง ‘เหยื่อ’ ซึ่งกลายเป็นลูกตัวจริงของ ‘ผู้กระทำความผิด’ และให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจในภาพยนตร์

อย่างไรก็ตาม มหาราชา (Maharaja) ก็สามารถนำเสนอประเด็นการข่มขืนได้อย่างแยบยลและน่าติดตามในสถานะของการเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นสะท้อนสังคม ที่ไม่เน้นฉากบู๊ล้างผลาญอย่างเดียวได้ดีไม่น้อย จนหลายสำนักซูฮกให้กับหนังเรื่องนี้ และสามารถทำรายได้ทั้งในและต่างประเทศอย่างถล่มทลาย!

 

  • คดีข่มขืนแพทย์หญิงในอินเดีย ซึ่งทำให้แพทย์ทั่วประเทศออกมาประท้วงกว่าหลายแสนคน

ต้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ครอบครัวหนึ่งที่ผลักตัวเองจากความยากจน และสามารถพิสูจน์ตนเองว่า คนยากจนและเป็นคนชนชั้นล่างอย่างพวกเขาก็สามารถส่งลูกสาวเป็นแพทย์ได้ กลับต้องพบเจอกับความโหดร้ายที่สุดในชีวิต เมื่อได้รับรู้ว่าลูกสาววัย 31 ปี ของพวกเขาถูกข่มขืนและสังหาร หลังจากเข้าเวรรักษาผู้ป่วยติดต่อยาวนานกว่า 36 ชั่วโมง และนอนพักผ่อนอยู่ในหอประชุมของโรงพยาบาล โดยการข่มขืนนั้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หรือคนเดียว!

 

หญิงอินเดีย 670 ล้านคนไม่ปลอดภัย?  สะท้อน Maharaja และคดีข่มขืนแพทย์เขย่าโลก

 

เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจไปทั่วประเทศ และจุดชนวนความโกรธแค้นและการออกมาเรียกร้อง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้แก่สตรีทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่เฉพาะแค่ที่โกลกาตา ที่เกิดเหตุเท่านั้น

 

ในวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา การเดินขบวน 'ทวงคืนยามราตรี' (Reclaim the Night) ถูกจัดขึ้นที่นครโกลกาตา เพื่อเรียกร้องมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้หญิงหลายล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งพวกเธอมีสิทธิจะเดินทางและทำกิจกรรมต่าง ๆ ยามค่ำคืนได้อย่างปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พบว่า แม้แต่ในโรงพยาบาลก็ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยของผู้หญิงในอินเดียแม้แต่น้อย!

โดยมีหมอประมาณ 300,000 คน ทั่วประเทศเข้าร่วมการประท้วงในวันดังกล่าว และการประท้วงติดต่อกันยาวนานกว่าสัปดาห์ และทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจนทำให้เกิดการใช้แก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุมเมื่อ 4 วันก่อน

 

ข้อมูลจากสำนักบันทึกอาชญากรรมแห่งชาติของอินเดีย ( NCRB ) ระบุว่า สถิติการข่มขืนในอินเดียพุ่งสูงกว่า 90 รายต่อวันในปี 2022 แต่มีหลายฝ่ายระบุว่าสถิติดังกล่าวต่ำกว่าที่เป็นจริงมากนัก เนื่องจากมีเหยื่ออีกหลายคนที่ไม่กล้าออกมาแจ้งความ

ส่วนการประท้วงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มีความคาดหวังจากหลายฝ่ายให้รัฐบาลออกมาตรการทางกฎหมายที่รุนแรงมากขึ้น เพื่อยับยั้งอาชญากรรมทางเพศดังกล่าว และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่ผู้หญิง ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีมาตรการที่ชัดเจนออกมาแต่อย่างใด

 

หญิงอินเดีย 670 ล้านคนไม่ปลอดภัย?  สะท้อน Maharaja และคดีข่มขืนแพทย์เขย่าโลก

 

ขณะที่แม่ของ Nirbhaya วัย 23 ปี นามสมมติของหญิงที่ถูกข่มขืนบนรถบัสในกรุงนิวเดลี เมื่อปี 2012 ได้ออกมาให้สัมภาษณ์โดยระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวที่เคยเกิดขึ้นกับเธอไม่ได้ก่อให้เกิดการปฏิรูปอะไรให้ต่างไปจากเดิม

โดยพบว่ามีการแก้ไขข้อกฎหมาย เพิ่มบทลงโทษเป็น 10 ปีหรือประหารชีวิตหากเหยื่ออายุต่ำกว่า 12 ปี รวมไปถึงผู้ต้องหาที่สามารถรับโทษได้นั้นเริ่มตั้งแต่อายุ 16 ปี แต่ก็ปรากฎว่าสถิติการข่มขืนในอินเดียไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือลดลงแต่อย่างใด!

 

  • ปิตาธิปไตยที่หยั่งรากลึก เกินกว่ากฎหมายจะแก้ได้

ทั้งนี้ อาชญากรรมทางเพศที่เกิดขึ้น หลายฝ่ายมองว่าไม่ได้แก้ไขได้ด้วยข้อกฎหมายที่รุนแรงขึ้นอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับสภาพสังคมที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมา โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ที่ตั้งอยู่แบบแนวคิด ‘ปิตาธิปไตย’ คือชายเป็นใหญ่ ซึ่งหยั่งรากลึกมานานหลายยุคหลายสมัย และเริ่มสั่งสอนตั้งแต่เด็ก ด้วยว่าสังคมอินเดียหล่อหลอมว่าเพศชายเป็นเพศที่แข็งแรง และมีบทบาทสำคัญทั้งในระดับครอบครัวจนถึงระดับประเทศชาติ ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นเหมือนพลเมืองชั้นสองที่ไม่สามารถออกความคิดเห็นได้แต่อย่างใด

ถึงขั้นมีการเปรียบเปรยว่า 'เกิดเป็นวัวในสังคมอินเดียยังจะดีกว่าเป็นสตรี' เพราะชาวอินเดียถือว่าวัวเป็นเทพและเป็นสัตว์พาหนะของพระศิวะ

หรือแม้แต่แนวคิดที่ว่าเมื่อแต่งงาน 'ภรรยาจะเป็นทรัพย์สมบัติสามี' แม้ทุกวันนี้ผู้หญิงในอินเดียไม่ต้องเผาตัวเองตายตามสามี แต่ในบริบทของสังคมอินเดียในแถบชนบท เรายังได้เห็นผู้หญิงที่แต่งกายสีขาวและไว้ทุกข์ให้สามีตลอดชีวิตหลงเหลืออยู่  รวมไปถึงการแต่งงานที่ผู้หญิงจะต้องเป็นผู้มอบสินสอดให้ฝ่ายชาย และต้องจ่ายเป็นจำนวนมากหากอยากได้สามีที่ดี ซึ่งสะท้อนภาพคุณค่าของเพศชายที่มีมากกว่าเพศหญิงในสังคมอินเดีย

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนฝั่งมายาคติ ที่ว่า ‘ผู้หญิง’ มีค่าน้อยกว่าผู้ชาย เฉกเช่น ‘ถังขยะ’ ที่ไม่สำคัญ

 

เพราะฉะนั้นเราจึงได้เห็นว่า จากสถิติข่มขืนในอินเดียของสำนักบันทึกอาชญากรรมแห่งชาติของอินเดีย ( NCRB ) มีการระบุว่า เหตุอาชญากรรมส่วนใหญ่ผู้ก่อเหตุมักจะเป็นบุคคลที่รู้จัก หรือเกี่ยวข้อง และพบเจอกันกว่าร้อยละ 80-90 เลยทีเดียว!

 

ณ วันนี้การประท้วงและเรียกร้องในอินเดียให้รัฐบาลออกมาจัดการในประเด็นดังกล่าวยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่แพทย์สาวถูกข่มขืนและฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งก็ต้องจับตามองต่อไปว่ารัฐบาลอินเดียจะมีมาตรการที่เพิ่มโทษ หรือจัดการในเรื่องนี้อย่างไร

เพราะในวันที่โลกรณรงค์เรื่องความหลากหลายและเท่าเทียมทางเพศ อินเดียในฐานะประเทศที่มีประชากรผู้หญิงกว่า 670 ล้านคนหากสามารถออกมาตรการที่แก้ไขเรื่องนี้ให้ดีขึ้นได้ ก็เท่ากับว่าจะมีพื้นที่ปลอดภัยให้กับผู้หญิงในโลกนี้เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ความน่ากลัวของความรุนแรงทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำให้คิดได้ว่า มันไม่ใช่ความบังเอิญที่ภาพยนตร์ Maharaja และคดีข่มขืนแพทย์หญิงในโกลกาตา เกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่เป็นเพราะเหตุการณ์ ‘เกิดขึ้นบ่อยครั้ง’ จนเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดได้พร้อมกันต่างหาก!