เหตุผล 'เคปทาวน์' ได้ชื่อว่าเป็น 'เมืองหลวงแห่ง LGBTQIA+ ของทวีปแอฟริกา
เปิดเหตุผล 'เคปทาวน์' ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่ง LGBTQIA+ ของทวีปแอฟริกา หลังล่าสุด 'เคปทาวน์' ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน WorldPride ปี 2028
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา 'เคปทาวน์' หนึ่งในสามเมืองหลวงของแอฟริกาใต้ ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน World Pride 2028 ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์สำหรับแอฟริกาใต้และชุมชน LGBTQIA+ เนื่องจากเป็นเมืองแรกในทวีปแอฟริกาที่จะได้จัดงานสำคัญนี้
ทั้งนี้ 'เคปทาวน์' ยังได้ชื่อว่าเป็น 'เมืองหลวงแห่ง LGBTQIA+ ของทวีปแอฟริกา จากเหตุผลในหลายมิติด้วยกัน ดังนี้
- สิทธิมนุษยชนและกฎหมายที่ก้าวหน้า
แอฟริกาใต้เป็นประเทศแรกในทวีปแอฟริกาที่รับรองสิทธิเกี่ยวกับการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2006 ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่มีการปกป้องสิทธิ LGBTQIA+ ไว้ในรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ แอฟริกาใต้ยังมีกฎหมายที่ป้องกันการเลือกปฏิบัติทางเพศซึ่งช่วยสนับสนุนให้ LGBTQIA+ มีความปลอดภัยในการแสดงออกถึงเพศสภาพและอัตลักษณ์ของตนเองมากขึ้น โดยแอฟริกาใต้เป็นประเทศที่ห้าในโลกที่ให้การรับรองการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันต่อจากเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม สเปน และแคนาดา
สำหรับความเห็นของประชาชนในแอฟริกาใต้ ตามผลสำรวจ Ipsos ในปี 2023 พบว่า 57% ของชาวแอฟริกาใต้สนับสนุนการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน 10% สนับสนุนการจดทะเบียนคู่ชีวิตหรือรูปแบบการเป็นคู่ที่ไม่ใช่การแต่งงาน 14% ยังไม่ได้ตัดสินใจ และ 19% คัดค้านการรับรองทุกรูปแบบสำหรับคู่รักเพศเดียวกัน
อีกด้านหนึ่ง ผลสำรวจจากศูนย์วิจัย Pew ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม 2023 แสดงให้เห็นว่า 38% ของชาวแอฟริกาใต้สนับสนุนการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน 58% คัดค้าน และ 4% ไม่ทราบหรือปฏิเสธที่จะตอบ เมื่อแยกตามอายุ พบว่าการสนับสนุนสูงสุดในกลุ่มอายุ 18–34 ปีที่ 42% และต่ำสุดในกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไปที่ 34% โดยผู้หญิง (45%) มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันมากกว่าผู้ชาย (30%)
- วัฒนธรรมและความหลากหลาย
เคปทาวน์เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเปิดกว้างมากกว่าหลายเมืองในแอฟริกา เป็นแหล่งรวมของผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา และแนวคิดเรื่องเพศที่แตกต่าง ทำให้มีพื้นที่สำหรับ LGBTQIA+ ที่สามารถใช้ชีวิตและมีปฏิสัมพันธ์อย่างเสรี
ความหลากหลายของเมืองเคปทาวน์ แอฟริกาใต้เนื่องจากแอฟริกาใต้เป็นจุดศูนย์กลางของการอพยพและการค้าทางทะเลตั้งแต่อดีต ทำให้ผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรมเดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐาน รวมถึงชนพื้นเมือง เช่น ซูลู โคซา และซาน รวมถึงชาวยุโรป (โดยเฉพาะชาวดัตช์และอังกฤษ) ที่เข้ามาในช่วงล่าอาณานิคม แม้ว่าในช่วงปี 1948-1994 จะมีนโยบายแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) ที่ได้แบ่งแยกประชาชนตามเชื้อชาติอย่างชัดเจนเกิดขึ้น และทำให้เกิดการกดขี่และความไม่เท่าเทียม แต่หลังจากการยกเลิกนโยบายดังกล่าว แอฟริกาใต้ได้พยายามส่งเสริมวัฒนธรรมที่หลากหลาย และผลักดันการยอมรับและการรวมกลุ่มของคนทุกเชื้อชาติ ทำให้ประเทศนี้มีบรรยากาศทางวัฒนธรรมที่เปิดกว้างและหลากหลายมากขึ้น
จะเห็นได้ว่า แอฟริกาใต้มีภาษาราชการมากกว่า 11 ภาษา ซึ่งรวมถึงภาษาอังกฤษ ภาษาแอฟริคานส์ และภาษาชนพื้นเมืองต่าง ๆ เช่น ซูลู โคซา และเซโซโท ภาษาที่หลากหลายนี้สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม และทำให้ชาวแอฟริกาใต้สามารถแสดงตัวตนของตนเองได้อย่างเสรี นอกจากนี้ หลังยุคแบ่งแยกสีผิว รัฐบาลแอฟริกาใต้ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและยอมรับวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยมีการจัดงานเทศกาลและงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ เช่น วันชาติ Heritage Day ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงออกถึงวัฒนธรรมและความเป็นมาของตนเอง
- เทศกาล LGBTQIA+ ที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา
เคปทาวน์เป็นเจ้าภาพจัดงาน Cape Town Pride ซึ่งเป็นเทศกาลเฉลิมฉลอง LGBTQIA+ ที่สำคัญที่สุดในทวีปแอฟริกา เทศกาลนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยว LGBTQIA+จากทั่วโลก และเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจและยอมรับต่อความหลากหลายทางเพศ
ภายในเมืองเคปทาวน์ยังประกอบด้วยสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่เป็นมิตรต่อกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะบริเวณ Sea Point และ De Waterkant ซึ่งเป็นย่านที่มีบาร์ ร้านอาหาร และสถานที่รวมตัวของกลุ่ม LGBTQIA+ ที่เป็นที่นิยม นักท่องเที่ยว LGBTQIA+ สามารถมาเยือนเคปทาวน์และรู้สึกปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
นอกจากนี้ เคปทาวน์ยังมีนโยบายสนับสนุนการบริการด้านสุขภาพแก่ชุมชนที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยมีคลินิกและบริการด้านสุขภาพที่เป็นมิตรกับ LGBTQIA+ ซึ่งรวมถึงการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ บริการทดสอบ HIV/AIDS และการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตแก่กลุ่ม LGBTQIA+ นอกจากนี้ในภาคสังคม เคปทาวน์ยังมีการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ LGBTQIA+ในโรงเรียนและในที่ทำงาน ส่งเสริมการอบรมให้เจ้าหน้าที่รัฐและหน่วยงานต่างๆ มีความรู้และความเข้าใจในการให้บริการอย่างเท่าเทียมและเคารพต่อชุมชน LGBTQIA+
มาตรการต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นคะแนนที่ทำให้เคปทาวน์ สามารถชนะใจชาว LGBTQIA+ และแสดงออกถึงความเป็นมิตรต่อความหลากหลายทางเพศ จนกลายเป็นเมืองที่ดึงดูดการท่องเที่ยวจาก LGBTQIA+ โดยมีการประมาณรายได้จากนักท่องเที่ยว LGBTQIA+ อยู่ที่ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,500 ล้านบาท ต่อปี.