เทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูง 'สำหรับเด็กแรกเกิด' ในประเทศไทยถึงไหนแล้ว?
วันเด็กแห่งชาติ 2568 นี้ ทางรมว.สมศักดิ์กล่าวว่าได้มอบของขวัญให้ด้วยการนำเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาดูแลรักษาผู้ป่วยเด็ก หนึ่งในนั้นคือเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับเด็กแรกเกิด โพสต์ทูเดย์จะพาส่องเทคโนโลยีเหล่านี้ในประเทศไทย ภายใต้สถิติทารกแรกเกิดที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้น!
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.กระทรวงสาธารณสุขได้กล่าวเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันนี้ ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีว่า
' กระทรวงสาธารณสุข ยังขอส่งมอบของขวัญวันเด็ก ด้วยการนำเทคโนโลยีขั้นสูง เข้ามาดูแลรักษาผู้ป่วยเด็ก ที่เป็นโรคยุ่งยากซับซ้อน เช่น ศูนย์โรคหัวใจในเด็ก ดูแลผู้ป่วยลิ้นหัวใจรั่ว และเส้นเลือดหัวใจสลับขั้วแต่กำเนิด ศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่งสามารถผ่าตัดผ่านกล้องช่องอกในทารกแรกเกิด เป็นที่เดียวในประเทศ '
สำหรับสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี สังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นสถาบันแรกนอกมหาวิทยาลัยแพทยศาตร์ที่ได้จัดให้มีการฝึกอบรมวิชาโรคเด็กขึ้น และได้พัฒนากลายเป็นสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ ที่สามารถรับผู้ป่วยในปีละ 15,000 ราย ผู้ป่วยนอกปีละ 350,000 ราย งานผ่าตัด 5,000 ราย โดยให้บริการส่งเสริมสุขภาพการเจริญเติบโตและพัฒนาการ การป้องกันโรคและให้การรักษาโรคโดยแพทย์เฉพาะทางโรคเด็กทุกสาขาและเป็นสถานที่ให้การรักษาในระดับตติยภูมิที่ส่งต่อมาจากทั่วประเทศ
ภายในสถาบันฯ มี 'ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมทารกแรกเกิด' เป็นศูนย์กลางระดับตติยภูมิในการดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมทารกแรกเกิดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งทำให้ได้เห็นว่าประเทศไทยนั้นมีการให้บริการครอบคลุมทุกสาขาของศัลยกรรมในเด็ก อันได้แก่ ศัลยกรรมทั่วไป ศัลยกรรมทรวงอกและหลอดเลือด ศัลยกรรมประสาท ศัลยกรรมตกแต่ง และศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ โดยเฉลี่ยรักษาผ่าตัดทารกแรกเกิด 400-500 คนต่อปี
ภายในศูนย์ฯ มีการใช้เทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่มาช่วยในการดูแลผู้ป่วยวิกฤต (Intensive care) รวมทั้งการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Minimal invasive surgery) ที่ช่วยแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กลง ลดอาการเจ็บแผล และใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดแผล ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น เครื่องเอกซเรย์ฟลูโอโรสโคปเคลื่อนที่แบบซีอาร์มชุดรับภาพชนิดแฟลตพาแนล ชุดกล้องส่องตรวจระบบทางเดินอาหารทางเดินน้ำดีและตับอ่อนด้วยคลื่นความถี่สูง พร้อมชุดควบคุมสัญญาณภาพ เครื่องตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงชนิดสองมิติ และเครื่องช่วยหายใจชนิดควบคุมด้วยปริมาตรและความดันสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงผู้ใหญ่ เครื่องช่วยหายใจชนิดความถี่สูง (High frequency oscillatory ventilation), Nitric oxide inhalation เป็นต้น
ผลงานระดับประเทศ อาทิ
- พัฒนานวัตกรรม แท่งขยายรูทวารหนัก ในกลุ่มโรคความผิดปกติทางทวารหนัก
- มีรูปแบบการให้บริการต้นแบบ กลุ่มโรค Gastroschisis ตั้งแต่ Referral system ระยะก่อน Refer จนถึงการเตรียมรับผู้ป่วยใหม่ การดูแลระยะก่อนผ่าตัด ระยะผ่าตัด ระยะหลังผ่าตัด ระยะก่อนจำหน่ายโดยการเตรียมความพร้อมก่อนจำหน่าย และการติดตามเยี่ยมหลังจำหน่าย เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี
- หุ่นจำลองการสวนล้างทวารเทียม
- อนุสิทธิบัตร เข็มผ่าตัดส่องกล้อง โรคไส้เลื่อน และถุงอัณฑะในเด็ก
ทั้งนี้ การรักษาทารกแรกเกิดในภาวะวิกฤตในประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีการพัฒนาเทคโนโลยีและบริการทางการแพทย์เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งนอกจากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติแล้ว โรงพยาบาลอื่นๆ ก็มีการนำบริการมาใช้ อาทิ
1. เครื่องช่วยหายใจสำหรับทารกแรกเกิด (Neonatal Ventilator)
- เครื่องช่วยหายใจที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับทารกแรกเกิด โดยเฉพาะทารกที่มีปัญหาการหายใจ เช่น ภาวะปอดไม่สมบูรณ์ (RDS) หรือ ภาวะหยุดหายใจ (Apnea)
- มีการนำเทคโนโลยี High-Frequency Oscillatory Ventilation (HFOV) ซึ่งช่วยลดความเสียหายต่อปอดมาใช้ในโรงพยาบาลใหญ่หลายแห่ง
2. เครื่องรักษาด้วยความเย็น (Therapeutic Hypothermia)
- ใช้สำหรับทารกแรกเกิดที่มีภาวะขาดออกซิเจน (Hypoxic-Ischemic Encephalopathy - HIE) ระหว่างคลอด โดยการลดอุณหภูมิร่างกายช่วยลดการทำลายเซลล์สมอง
3. การดูแลในหอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด (NICU)
- โรงพยาบาลใหญ่ในประเทศไทยมี NICU ที่ทันสมัย พร้อมเทคโนโลยีครบครัน เช่น เครื่องติดตามสัญญาณชีพอัตโนมัติ (Vital Sign Monitor) ตู้อบควบคุมอุณหภูมิ (Incubator) ที่สามารถควบคุมความชื้นและอุณหภูมิให้เหมาะสมสำหรับทารกน้ำหนักตัวน้อย
4. เครื่องฟอกเลือด (Extracorporeal Membrane Oxygenation - ECMO)
- ใช้สำหรับทารกที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือระบบไหลเวียนโลหิตทำงานผิดปกติ
- แม้ว่าจะยังไม่แพร่หลายมากนักในประเทศไทย แต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่บางแห่งเริ่มนำมาใช้ในกรณีที่จำเป็น
ทารกภาวะวิกฤตหรือความผิดปกติของทารกที่ต้องได้รับการดูแลรักษา
ทารกภาวะวิกฤตหรือความผิดปกติที่ต้องได้รับการดูแล อาทิ
- ทารกคลอดก่อนกำหนด อายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ (หรือหลังอายุครรภ์ 42 สัปดาห์)
- ทารกน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม หรือมากกว่า 4,000 กรัม
- ทารกมีน้ำหนักผิดปกติเมื่อเทียบกับอายุครรภ์
- ทารกแฝด
- ทารกตรวจพบความผิดปกติ เช่น ขาดออกซิเจน
- ทารกมีท่าผิดปกติในครรภ์ เช่น ท่าก้น ท่าขวาง
- ทารกเกิดความผิดปกติระหว่างคลอด
- ทารกพิการแต่กำเนิด และทารกพิการแต่กำเนิดที่มีปัญหาซับซ้อน
ทั้งนี้ อัตราการตายของทารกแรกเกิดภายใน 28 วัน (Neonatal Mortality Rate: NMR) จากข้อมูลของกรมการแพทย์ พบว่าอัตราการตายของทารกแรกเกิดภายใน 28 วันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 4.4 ต่อการเกิดมีชีพ 1,000 คนในปีงบประมาณ 2560 เป็น 5.0 ในปีงบประมาณ 2565