แค่เพียง 1 สัปดาห์ ‘ทรัมป์’ เปลี่ยนวงการสาธารณสุขอเมริกาแบบพลิกฝ่ามือ!
นโยบายด้านสังคมของทรัมป์ที่เขย่า และพลิกทิศทางของโลกนั้นมีหลายเรื่อง แต่ 2 เรื่องที่น่าจับตามองและอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ได้นั่นก็คือ นโยบายด้านสาธารณสุข และนโยบายด้านความหลากหลายและเท่าเทียม ที่ก็วนมาสู่เรื่องของสุขภาพของประชาชนเช่นกัน!
ประกาศถอนตัวออกจาองค์การอนามัยโลก หรือ WHO
การประกาศถอนตัวจาก WHO กระเทือนต่องบบริหารจัดการขององค์การเป็นอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่สนับสนุนเงินแก่ WHO กว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 15% ของงบประมาณทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ถ้าไปดูรายละเอียดของงบสนับสนุนจากสหรัฐฯ จริงๆ แล้วกว่า 70% มาจากการบริจาคอย่างสมัครใจ โดยมีครอบครัวของ ‘บิล เกตต์’ เศรษฐีเจ้าของไมโครซอฟต์ เป็นผู้บริจาคมากที่สุดถึงปีละ 689 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว
ทรัมป์ ให้เหตุผลที่เลือกถอนตัวจาก WHO โดยกล่าวหาว่าลำเอียงและเข้าข้างจีนในการจัดการกับโควิด 19 และมีการบริหารจัดการที่ผิดพลาด นอกจากนี้ยังกล่าวว่าการสนับสนุนองค์การอนามัยโลกเป็นภาระงบประมาณของสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่ประเทศจีนจ่ายน้อยกว่าแต่กลับมีอิทธิพลต่อ WHO มากกว่าซะได้!
ทั้งนี้ ล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวว่าเขาอาจพิจารณากลับเข้าร่วม WHO อีกครั้ง แต่ต้องทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ระงับการจัดสรรงบประมาณและทบทวนการช่วยเหลือต่างประเทศของสหรัฐ
ทรัมป์บอกว่าการจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือดังกล่าวไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของคนอเมริกา และขัดแย้งกับค่านิยมของอเมริกา ซึ่งเกือบทุกโครงการด้านสุขภาพทั่วโลกได้รับการสนับสนุนทางการเงินผ่านการจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือทางการต่างประเทศนั้นต้องทำตามคำสั่งดังกล่าว
นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้หยุดงานในโครงการสุขภาพทั่วโลกของสหรัฐฯ (และการช่วยเหลือทางการต่างประเทศอื่นๆ) ไว้ชั่วคราว ซึ่งทำให้โครงการสำคัญ เช่น PEPFAR อาจไม่สามารถให้บริการที่สำคัญ เช่น การรักษาด้วยยาต้านไวรัสได้ เว้นแต่จะได้รับการยกเว้น
ต่อต้านการทำแท้ง
นโยบายต่อต้านการทำแท้จะถูกนำมาใช้อีกครั้งตาม 'นโยบายเม็กซิโกซิตี' (Mexico City Policy) โดยห้ามมิให้รัฐบาลกลางส่งเงินให้กับองค์กรพัฒนาเอกชนในต่างประเทศที่ดำเนินการหรือส่งเสริมการทำแท้ง และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาทรัมป์ยังเพิกถอนคำสั่งบริหาร 2 ฉบับของรัฐบาลไบเดน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะขยายการทำแท้งในสหรัฐฯ
ยุติโครงการ DEI ( ความหลากหลายและเท่าเทียม )
ทรัมป์ออกคำสั่งในวันแรกของการดำรงตำแหน่งเพื่อที่จะยุติโครงการ DEI ทั้งหมด ผลลัพธ์ที่ตามมาเรียกได้ว่า 'สะเทือนถึงดวงดาว' เพราะหัวใจของความหลากหลายเท่าเทียม และการส่งเสริมด้านนี้ถูกบั่นทอน โดยเฉพาะในเรื่องของงบประมาณที่มีไว้ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของบุคคลในกลุ่ม LGBTQ+
นอกจากนี้ยังกำหนดให้มีการเซนต์รับรองเพียงสองเพศเท่านั้น คือ ชาย และ หญิง เพื่อที่จะยุติการรับรองสถานะทางกฎหมายของบุคคลข้ามเพศและบุคคลที่ไม่ระบุเพศ โดยกำหนดให้เอกสารระบุตัวตนที่ออกโดยรัฐบาล ต้องระบุเพศของผู้ถือเอกสารให้ตรงกับเพศกำเนิดเท่านั้น ซึ่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ระบุว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นไปเพื่อปกป้อง ‘พื้นที่สำหรับเพศเดียวกัน’ เช่น ห้องน้ำและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง โดยอ้างถึงความปลอดภัยของผู้หญิงที่อาจถูกคุกคามจากการมีบุคคลข้ามเพศในพื้นที่
อย่างไรก็ตามมีหลายหน่วยงานไม่เห็นด้วย และมีความกังวลกับนโยบายดังกล่าว สมาคมวิทยาลัยการแพทย์แห่งอเมริกา (AAMC) ระบุว่า คำสั่งเกี่ยวกับ DEI อาจส่งผลกระทบต่อศูนย์การแพทย์เชิงวิชาการ (academic medical centers) ที่ได้รับทุนจากรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ NWLC (National Women’s Law Center) ยังแสดงความกังวลว่านโยบายใหม่จะเปิดโอกาสให้เกิดการล่วงละเมิดและการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน โดยเฉพาะในกลุ่มคนหลากหลาย เช่น ผู้หญิง คนผิวสี และชุมชน LGBTQIA+ ซึ่งอาจส่งผลให้พนักงานได้รับค่าจ้างต่ำลงและต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่ปลอดภัย
ในขณะที่ RWJF (Robert Wood Johnson Foundation) สนับสนุนการคงไว้ซึ่งนโยบาย DEI ในระบบสาธารณสุข เนื่องจากความหลากหลายในบุคลากรทางการแพทย์ช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่ด้อยโอกาส เช่น ผู้ป่วย LGBTQIA+ และคนผิวสี
อย่างไรก็ตาม ก็มีบางส่วนที่สนับสนุนการดำเนินงานของทรัมป์ในเรื่องนี้ โดยมองว่าคนผิวสีมักจะถูกมองว่าเป็นเหยื่อเสมอ และคนผิวขาวจะต้องถูกกดขี่ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผิดพลาดเป็นอย่างมาก และผู้คนไม่ควรจะถูกแบ่งแยกโดยอุดมการณ์ของตนเอง เพราะตามกฎ Civil Right Act ปี 1964 ระบุว่าความเสมอภาพต้องไม่คำนึงถึงเรื่องเชื้อชาติหรือเพศ อีกทั้งโครงการ DEI ยังเป็นภาระทางงบประมาณมหาศาล โดยเฉพาะในบางบริษัทที่ต้องมีแผนก DEI โดยเฉพาะ และอาจเกิดการจ้างงานที่คำนึงถึงความหลากหลายมากกว่าศักยภาพที่แท้จริง
ทั้งนี้ หลายฝ่ายมองว่าสิ่งที่จะได้รับการกระทบกระเทือนมากที่สุด คือ เงินสนับสนุนในโครงการต่างๆ ที่ทางสหรัฐฯ เคยช่วยเหลือ รวมไปถึงสวัสดิการและเงินสนับสนุนในด้านสุขภาพของผู้คนที่มีความหลากหลายทั้งในสหรัฐอเมริกา และในต่างประเทศอีกด้วย
และนี่คือตัวอย่างเพียงไม่กี่เรื่องภายในระยะเวลาแค่ 1 อาทิตย์ของการดำรงตำแหน่งของทรัมป์!