เทียบค่ารักษาพยาบาล 4 กองทุนฯ เหลื่อมล้ำชัดเจน! หลังเผยงบแซง GDP

เทียบค่ารักษาพยาบาล 4 กองทุนฯ เหลื่อมล้ำชัดเจน! หลังเผยงบแซง GDP

17 มีนาคม 2568

เทียบค่ารักษาพยาบาล 4 กองทุนหลักประกันสุขภาพ ตีแผ่ความเหลื่อมล้ำถึงระดับภูมิภาค และแนวทางแก้ไขหลังงบค่ารักษาแซง GDP ประเทศ!

KEY

POINTS

  • คนไทยใช้งบการรักษา 3.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 11% ต่อปี โตมากกว่าจีดีพีประเ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย เปิดเผยไว้เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ใช้งบพุ่งกว่า 3.6 แสนล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่า 11% ต่อปี ซึ่งโตมากกว่าจีดีพีประเทศซึ่งอยู่ที่ 2-2.5%

นอกจากนี้ยังพบว่ามีการใช้งบประมาณเพิ่มสูงรวดเร็ว จึงต้องมีการทบทวนค่าใช้จ่ายในระบบให้มีเพิ่มคุณภาพและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยยอมรับว่า GDP ที่โตน้อยอาจส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพแน่นอน โดยยังยืนยันว่าไม่ได้มีการลดสิทธิการรักษาเดิม และยังไม่มีการคุยถึงการรวมสิทธิรักษาพยาบาลทั้ง 4 ระบบเข้าด้วยกัน

 

เทียบค่ารักษาพยาบาล 4 กองทุนฯ เหลื่อมล้ำชัดเจน! หลังเผยงบแซง GDP

 

ความเหลื่อมล้ำ สิทธิสุขภาพ ของไทย

การประชุมดังกล่าวได้โฟกัสที่ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของภาครัฐ โดยมี 4 ระบบ ได้แก่

  1. ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง)
  2. ระบบประกันสังคม
  3. ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
  4. ระบบการดูแลพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)

 

เมื่อเปรียบเทียบค่ารักษาของแต่ละกลุ่ม มีรายละเอียดดังนี้

  • ค่ารักษาของกลุ่มข้าราชการเฉลี่ยสูงถึง 1.8 หมื่นบาทต่อคน
  • รองลงมาเป็นสิทธิค่ารักษาของ อปท.สูงกว่า 1.2 หมื่นบาทต่อคน
  • สิทธิประกันสังคม 4.9 พันบาทต่อคน
  • สิทธิบัตรทอง 3.8 พันบาทต่อคน

 

เทียบค่ารักษาพยาบาล 4 กองทุนฯ เหลื่อมล้ำชัดเจน! หลังเผยงบแซง GDP

 

ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ เคยสรุปตัวเลขจำนวนคนไทยในสิทธิต่างๆ ในปี 2566 พบว่า

  • ค่าราชการและรัฐวิสาหกิจมีอยู่ราว 5.3 ล้านคน
  • พนักงานอปท.  6.8 แสนคน
  • ประกันสังคม   12.8 ล้านคน
  • สิทธิบัตรทอง  46.9 ล้านคน

 

เมื่อพิจารณาในแต่ละ 'ภาค' มีความแตกต่างกัน

ประชากร 8 ใน 10 ที่อาศัยอยู่ใน ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ เป็นผู้มีสวัสดิการจากหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง ดังนี้

  • ภาคเหนือ  ร้อยละ 80.8 
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 88.6
  • ภาคใต้ ร้อยละ 81.9

 

ส่วนประชากรที่อาศัยอยู่ใน กรุงเทพมหานครและภาคกลาง มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลแตกต่างจากภาคอื่น กล่าวคือ

กรุงเทพมหานคร

ร้อยละ 52.5 สวัสดิการจากหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ร้อยละ 36.4 สวัสดิการจากหลักประกันสังคม/กองทุนเงินทดแทน

ภาคกลาง

ร้อยละ 64.3  สวัสดิการจากหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ร้อยละ 29.6  สวัสดิการจากประกันสังคม

อย่างไรก็ตามพบว่า ผู้ป่วยโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครกว่าร้อยละ 46.3 ไม่ใช้สวัสดิการรักษาพยาบาลที่มีเมื่อเจ็บป่วย  และเป็นจังหวัดที่ซื้อยากินเองมากที่สุดคือร้อยละ 34.7

 

 

8 แนวทางการทำงานเร่งด่วน โดยไม่มีการรวมสิทธิ 

  1. สปสช.และสธ.ทบทวนหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของไทย ให้ควบคุมการใช้จ่ายของทุกสิทธิให้เหมาะสมภายใต้วงเงินที่ได้รับจัดสรร ไม่ให้เกิดภาระต่อเงินคงคลังของประเทศ ที่สำคัญคือ  “ พิจารณาค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะสิทธิสวัสดิการข้าราชการที่ควรจะมีแนวโน้มลดลง”
  2. สปสช. พิจารณานำงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินงาน หรือรายได้สูงกว่ารายจ่ายสะสมมาสมทบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เป็นลำดับแรก และหากเงินรายได้สูงกว่ารายจ่ายสะสมไม่เพียงพอ ก็ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายงานเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ตามขั้นตอนต่อไป และให้ขยายมาตรการนี้ไปยังเงินนอกงบประมาณของหน่วยบริการภาครัฐต่อไป
  3. สธ. ต้องมีมาตรการ หลักเกณฑ์ ในการสั่งจ่ายาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกสิทธิการรักษาพยาบาล และควรพิจารณาการใช้ยาสามัญ (Generic Drugs) เป็นลำดับแรกแทนยาต้นตำรับ (Original Drugs) เนื่องจากยาต้นตำรับมีราคาที่ค่อนข้างสูง
  4. ดำเนินการนำร่องเรื่อง การพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้ทั้งประเทศใช้ระบบเดียวกัน
  5. ควรเร่งดำเนินการเชิงรุก ตลอดจนพิจารณาทบทวนการใช้ DRGs ให้สอดคล้องกับต้นทุนค่ารักษาพยาบาลที่แท้จริง และพิจารณานำแนวทางการจัดทำงบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Based Budgeting) มาปรับใช้ในการจัดทำงบประมาณมากขึ้นในปีถัดไป
  6. กรมบัญชีกลาง สำนักงานข้าราชการพลเรือน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพิจารณาหลักเกณฑ์การจัดสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการในระบบ และที่บรรจุใหม่
  7. สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำหนดมาตรฐานราคากลางของยา วัคซีน เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์อวัยวะเทียม เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกันทังประเทศ และพิจารณาการจัดซื้อยา วัคซีน เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์อวัยวะเทียมจากองค์การเภสัชกรรม และการจัดซื้อในปริมาณที่มาก จะทำให้ต่อรองราคาเพื่อให้เกิดความประหยัดและคุ้มค่าได้ รวมถึงดึงดูดให้เกิดการลงทุนในประเทศ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต
  8. กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณามาตรการทางภาษี เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีเพื่อให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น การเก็บภาษีสินค้าที่ทำลายสุขภาพเพิ่ม และ สร้างแรงจูงใจทางอ้อมให้กับประชาชนที่ได้รับสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ รับสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ

 

ข้อมูล

การสำรวจอนามัยและสวัสดิการ พ.ศ.2566 สำนักงานสถิติแห่งชาติ 

Thailand Web Stat