“Buy Local” อาวุธนุ่มแต่แน่นของแคนาดา ตอบโต้นโยบายภาษีทรัมป์!

05 เมษายน 2568

ในวันที่ทรัมป์แผลงฤทธิ์ แคนาดาแสดงให้เห็นว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจสามารถสร้างได้จากภายใน และการสนับสนุนกันเอง คือ “คำตอบ” ที่ไม่ต้องใช้การตอบโต้เชิงความรุนแรงเลย

ในวันที่การค้าระหว่างประเทศเต็มไปด้วยความผันผวนและการเผชิญหน้า การตอบโต้นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นโจทย์สำคัญสำหรับหลายประเทศทั่วโลก ท่ามกลางกระแสการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างชาติ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคนาดา แทนที่จะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน

 

แคนาดากลับเลือกใช้แนวทาง “นุ่มนวลแต่ทรงพลัง” ผ่านแคมเปญระดับชาติที่ชื่อว่า Buy Local หรือ “ซื้อของแคนาดา ใช้ของคนแคนาดา”

 

จุดเริ่มต้นของ Buy Local เมื่อเพื่อนบ้านไม่เป็นมิตร

แนวคิด “Buy Local” หรือการสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นของแคนาดานั้น ไม่ได้เพิ่งเริ่มในปี 2025 แต่มีรากฐานย้อนไปได้หลายทศวรรษ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แคนาดาเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกหรือข้อพิพาททางการค้า

 

อย่างไรก็ตาม หากพูดถึง แคมเปญ Buy Local ที่ชัดเจนและถูกผลักดันในระดับชาติ ในฐานะมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจต่อสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวนี้เริ่มชัดเจนและเข้มข้นขึ้นในปี 2018 และกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งในปี 2025 ภายใต้รัฐบาลของจัสติน ทรูโดที่เพิ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้นำและหัวหน้าพรรครัฐบาลหลังเผชิญปัญหาการเมืองภายใน ปิดฉากการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศมานาน 9 ปีไปเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2568 ก่อนที่มาร์ก คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษและแคนาดา จะชนะเลือกตั้งครองตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีนิยมของแคนาดาได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประกาศจะสู้กำแพงภาษีสหรัฐฯ และเอาชนะสงครามการค้ากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแบบสดๆ ร้อนๆ

 

และในเดือนเมษายน 2025 อันร้อนแรงไปทั่วทุกองคาพยพ สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าหลายรายการจากแคนาดา (และหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย) โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ท่าทีดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจแคนาดาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมเกษตร เหล็ก และสินค้าครัวเรือน

 

ในขณะที่หลายประเทศเลือกตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ แบบทันที แคนาดากลับเลือกเดินอีกเส้นทาง ใช้พลังของประชาชนและผู้บริโภคเป็นเครื่องมือในการตอบโต้

 

"Buy Local" จากแนวคิดสู่การปฏิบัติจริง

เมื่อรัฐบาลกลางขับเคลื่อนนโยบายผ่านแคมเปญระดับชาติ

รัฐบาลแคนาดาสนับสนุนแคมเปญ Buy Local อย่างจริงจัง โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการพาณิชย์เปิดตัวโครงการรณรงค์ผ่านทุกช่องทาง ตั้งแต่โทรทัศน์ เว็บไซต์ ไปจนถึงโซเชียลมีเดีย เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักว่า “การเลือกซื้อสินค้าในประเทศ คือการปกป้องเศรษฐกิจของเราเอง”

 

แคมเปญอย่าง “Keep it Canadian” และ “True North, Buy Strong” กลายเป็นคำขวัญติดหูในช่วงเวลาสั้น ๆ

 

เมืองใหญ่และท้องถิ่นผนึกกำลังอย่างพร้อมเพรียง

เริ่มจากโตรอนโต เปิดตัวแคมเปญ “Love Local” โดยระบุว่า การสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นคือการเสริมสร้างความยั่งยืนของเมือง

เมืองบรานต์ฟอร์ด จัดแคมเปญ “Buy Canadian, Shop Local” เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ หรือ เมืองนอร์ทแวนคูเวอร์ ลงมติผ่านนโยบาย Buy Local อย่างเป็นทางการ เพื่อส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ถึงรัฐบาลสหรัฐ

 

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในห้างร้านทั่วประเทศ ก็คือซูเปอร์มาร์เก็ตและเชนค้าปลีกใหญ่ เช่น Loblaw, Metro, Sobeys เริ่ม เพิ่มพื้นที่จำหน่ายสินค้าจากผู้ผลิตท้องถิ่น ติดฉลาก “Made in Canada” อย่างเด่นชัด และลดการนำเข้าสินค้าบางรายการจากสหรัฐฯ ลงอย่างเงียบ ๆ

 

เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท

แอปพลิเคชันชื่อ “Scan the Maple” ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคสามารถสแกนบาร์โค้ดสินค้าผ่านมือถือเพื่อทราบแหล่งที่มา พร้อมรับคำแนะนำเกี่ยวกับสินค้าที่ผลิตในแคนาดาแทนที่สินค้านำเข้า

 

ผลสะท้อนจากสังคม "Buy Local" ไม่ใช่แค่คำโฆษณา

ผลสำรวจจาก Angus Reid ระบุว่า:

  • 87% ของประชาชนชาวแคนาดาสนับสนุนแนวทาง Buy Local อย่างเต็มที่
  • 72% ยินดีจ่ายแพงขึ้น หากมั่นใจว่าสินค้านั้นช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจในประเทศ
  • 64% เห็นว่านโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เป็น “การกลั่นแกล้งทางเศรษฐกิจ”

 

อย่างไรก็ตาม ความนิยมต่อแนวคิด Buy Local ยังนำมาซึ่งปัญหาบางประการ เช่น การติดฉลากสินค้าไม่ตรงจริง (fraudulent labeling) ซึ่งทำให้สำนักงานผู้บริโภคของรัฐบาลต้องเข้าตรวจสอบและปรับระบบการรับรองสินค้าภายในประเทศให้เข้มงวดขึ้น

 

ผลกระทบเชิงโครงสร้าง: Buy Local กับความมั่นคงระยะยาว

แม้นโยบาย Buy Local จะถูกจุดประกายจากแรงกดดันภายนอก แต่มันกลับจุดไฟให้แคนาดากลับมาทบทวนระบบเศรษฐกิจของตนเองในระยะยาว ดังนี้:

  • การกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน: บริษัทหลายแห่งเริ่มลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และหันมาสร้างฐานการผลิตภายในประเทศมากขึ้น
  • การสร้างงาน: ความต้องการสินค้าท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดการจ้างงานใหม่ในภาคเกษตรและการผลิต
  • การเติบโตของ SME: ผู้ประกอบการขนาดเล็กได้รับโอกาสเข้าถึงตลาดมากขึ้น โดยไม่ถูกกลืนไปกับสินค้านำเข้า

 

นโยบาย Buy Local จึงไม่ได้เป็นแค่แคมเปญทางเศรษฐกิจ แต่คือการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของแคนาดา  ประเทศที่เชื่อในพลังของประชาชน ความยืดหยุ่น และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

 

ในวันที่โลกเต็มไปด้วยสงครามภาษี การเมืองการค้า และความไม่แน่นอน แคนาดาแสดงให้เห็นว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจสามารถสร้างได้จากภายใน และการสนับสนุนกันเอง คือ “คำตอบ” ที่ไม่ต้องใช้การตอบโต้เชิงความรุนแรงเลย

 

สรุปไทม์ไลน์สำคัญของนโยบาย Buy Local ในแคนาดา

ปี

เหตุการณ์สำคัญ

1980s–1990s

แนวคิด "Buy Canadian" เริ่มปรากฏในระดับชุมชน เน้นสินค้าการเกษตรและงานฝีมือ

2008–2009

วิกฤตเศรษฐกิจโลกกระตุ้นให้เกิดการสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นในหลายจังหวัด

2018

เริ่มมีการใช้แคมเปญ “Buy Canadian” เพื่อตอบโต้นโยบายขึ้นภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียมของรัฐบาลทรัมป์

2020 (โควิด-19)

โครงการ Buy Local ขยายตัวในหลายเมือง เช่น โตรอนโต มอนทรีออล แวนคูเวอร์ เพื่อช่วยธุรกิจท้องถิ่นรอดจากการล็อกดาวน์

2025

Buy Local กลายเป็นมาตรการระดับประเทศ เพื่อรับมือกับการขึ้นภาษีรอบใหม่จากสหรัฐฯ โดยมีการรณรงค์ร่วมระหว่างภาครัฐ ท้องถิ่น และภาคเอกชน

 

ข้อสังเกต:

  • แคนาดาไม่เคยมี “กฎหมาย Buy Local” ระดับชาติอย่างเป็นทางการ แต่เน้น แคมเปญส่งเสริม ผ่านการรณรงค์ ภาษีสนับสนุน หรือโครงการท้องถิ่น
  • แนวคิดนี้ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมของประชาชน โดยเฉพาะในชนบทและกลุ่ม SME ที่มองว่า “เงินควรหมุนเวียนในชุมชนก่อนออกไปต่างประเทศ”

 

สรุปนโยบายต่อต้านการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จากประเทศต่างๆ ณ วันที่ 5 เมษายน 2025

แนวโน้มการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2025 ได้จุดชนวนให้เกิด “แนวนโยบายตอบโต้” ทั่วโลก โดยประเทศต่างๆ เลือกใช้วิธีที่หลากหลาย ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ในการปกป้องเศรษฐกิจของตนเอง บางประเทศเลือกใช้มาตรการภาษีตอบโต้ ขณะที่บางประเทศเลือกเดินเกมนุ่มนวล เช่น การส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ หรือการเร่งเจรจาการค้ากับคู่ค้าอื่นแทนสหรัฐฯ

 

🇨🇳 จีน – “ภาษีตอบโต้แบบทันที + ยกระดับการพึ่งพาตนเอง”

  • ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มากกว่า 34% ในหลายหมวด เช่น ถั่วเหลือง เครื่องยนต์ เครื่องจักร
  • ระงับการสั่งซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว
  • สนับสนุนโครงการ “Dual Circulation” (การหมุนเวียนภายใน-ภายนอก) เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

 

🇨🇦 แคนาดา – “แคมเปญ Buy Local แบบเต็มสูบ”

  • ส่งเสริมการใช้สินค้าในประเทศผ่านแคมเปญ “Keep it Canadian”
  • ห้างร้านนำสินค้าจากสหรัฐออกจากชั้นวาง
  • รัฐบาลอุดหนุนผู้ผลิตท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ
  • ยังไม่ใช้มาตรการภาษีตอบโต้ในทันที

 

🇪🇺 สหภาพยุโรป (EU) – “กดดันผ่าน WTO + ภาษีตอบโต้แบบเป้าหมาย”

  • ประกาศเตรียมใช้ ภาษีตอบโต้แบบสมมาตร (reciprocal tariffs) หากสหรัฐฯ ไม่ยอมเจรจา
  • ยื่นเรื่องฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ฐานละเมิดข้อตกลงการค้าเสรี
  • เตรียมกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ เช่น วิสกี้ เนื้อวัว รถยนต์ไฟฟ้า

 

🇬🇧 สหราชอาณาจักร – “การทูตเศรษฐกิจ + มาตรการป้องกันภายใน”

  • นายกฯ Keir Starmer เรียกร้องให้เปิดการเจรจาโดยเร็ว
  • กระตุ้นภาคเอกชนกระจายตลาดส่งออกไปยัง EU และเอเชีย
  • เริ่มเจรจาเร่งด่วนกับอินเดียและอาเซียนเรื่องข้อตกลงการค้า

 

🇩🇪 เยอรมนี – “เพิ่มเงินสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ”

  • กระทรวงเศรษฐกิจเตรียมงบช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องจักรที่ได้รับผลกระทบ
  • ส่งเสริม “Made in Germany” ให้เข้มข้นขึ้นผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
  • เรียกร้องให้ EU ดำเนินนโยบายรวมศูนย์รับมือภาษีสหรัฐ

 

🇯🇵 ญี่ปุ่น – “เจรจานิ่ง + รักษาผลประโยชน์”

  • ยังไม่ประกาศภาษีตอบโต้โดยตรง แต่ส่งทูตเศรษฐกิจไปเจรจาทางการค้าอย่างเงียบๆ
  • อุดหนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนเทคโนโลยีที่ส่งออกไปยังสหรัฐ
  • สนับสนุนภาคธุรกิจย้ายตลาดไปยังอาเซียน

 

🇲🇽 เม็กซิโก – “ตั้งกำแพงอ่อน + ผลักดันการค้าในละตินอเมริกา”

  • เตรียมพิจารณาขึ้นภาษีเฉพาะสินค้าสหรัฐที่ไม่กระทบต้นทุนภายในมากนัก
  • เร่งเจรจาการค้ากับบราซิล เปรู และโคลอมเบีย เพื่อขยายตลาดส่งออก
  • สนับสนุนผู้ประกอบการ SME ให้เข้าถึงทุนง่ายขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน

 

🇦🇺 ออสเตรเลีย – “ประณามอย่างเป็นทางการ + ใช้เวทีระหว่างประเทศ”

  • ออกแถลงการณ์ตำหนินโยบายสหรัฐว่าเป็นการทำลายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
  • เตรียมยื่นเรื่องต่อ APEC และ WTO เพื่อขอเปิดโต๊ะเจรจา
  • ส่งเสริมแคมเปญ “Australian Made” คล้ายกับแคนาดา

 

🇮🇳 อินเดีย – “ใช้โอกาส + เพิ่มอิทธิพลในเอเชีย”

  • ชูอินเดียเป็น “ทางเลือกแทนจีน” สำหรับห่วงโซ่อุปทานที่หนีภาษีสหรัฐ
  • เร่งดึงดูดนักลงทุนจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ EU
  • ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐบางรายการ เช่น เครื่องสำอาง และของเล่น

 

Thailand Web Stat