“Buy Local” อาวุธนุ่มแต่แน่นของแคนาดา ตอบโต้นโยบายภาษีทรัมป์!
ในวันที่ทรัมป์แผลงฤทธิ์ แคนาดาแสดงให้เห็นว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจสามารถสร้างได้จากภายใน และการสนับสนุนกันเอง คือ “คำตอบ” ที่ไม่ต้องใช้การตอบโต้เชิงความรุนแรงเลย
ในวันที่การค้าระหว่างประเทศเต็มไปด้วยความผันผวนและการเผชิญหน้า การตอบโต้นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นโจทย์สำคัญสำหรับหลายประเทศทั่วโลก ท่ามกลางกระแสการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างชาติ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคนาดา แทนที่จะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
แคนาดากลับเลือกใช้แนวทาง “นุ่มนวลแต่ทรงพลัง” ผ่านแคมเปญระดับชาติที่ชื่อว่า Buy Local หรือ “ซื้อของแคนาดา ใช้ของคนแคนาดา”
จุดเริ่มต้นของ Buy Local เมื่อเพื่อนบ้านไม่เป็นมิตร
แนวคิด “Buy Local” หรือการสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นของแคนาดานั้น ไม่ได้เพิ่งเริ่มในปี 2025 แต่มีรากฐานย้อนไปได้หลายทศวรรษ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แคนาดาเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกหรือข้อพิพาททางการค้า
อย่างไรก็ตาม หากพูดถึง แคมเปญ Buy Local ที่ชัดเจนและถูกผลักดันในระดับชาติ ในฐานะมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจต่อสหรัฐฯ การเคลื่อนไหวนี้เริ่มชัดเจนและเข้มข้นขึ้นในปี 2018 และกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งในปี 2025 ภายใต้รัฐบาลของจัสติน ทรูโดที่เพิ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้นำและหัวหน้าพรรครัฐบาลหลังเผชิญปัญหาการเมืองภายใน ปิดฉากการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศมานาน 9 ปีไปเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2568 ก่อนที่มาร์ก คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษและแคนาดา จะชนะเลือกตั้งครองตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีนิยมของแคนาดาได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประกาศจะสู้กำแพงภาษีสหรัฐฯ และเอาชนะสงครามการค้ากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาแบบสดๆ ร้อนๆ
และในเดือนเมษายน 2025 อันร้อนแรงไปทั่วทุกองคาพยพ สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าหลายรายการจากแคนาดา (และหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย) โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ท่าทีดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจแคนาดาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมเกษตร เหล็ก และสินค้าครัวเรือน
ในขณะที่หลายประเทศเลือกตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ แบบทันที แคนาดากลับเลือกเดินอีกเส้นทาง ใช้พลังของประชาชนและผู้บริโภคเป็นเครื่องมือในการตอบโต้
"Buy Local" จากแนวคิดสู่การปฏิบัติจริง
เมื่อรัฐบาลกลางขับเคลื่อนนโยบายผ่านแคมเปญระดับชาติ
รัฐบาลแคนาดาสนับสนุนแคมเปญ Buy Local อย่างจริงจัง โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการพาณิชย์เปิดตัวโครงการรณรงค์ผ่านทุกช่องทาง ตั้งแต่โทรทัศน์ เว็บไซต์ ไปจนถึงโซเชียลมีเดีย เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักว่า “การเลือกซื้อสินค้าในประเทศ คือการปกป้องเศรษฐกิจของเราเอง”
แคมเปญอย่าง “Keep it Canadian” และ “True North, Buy Strong” กลายเป็นคำขวัญติดหูในช่วงเวลาสั้น ๆ
เมืองใหญ่และท้องถิ่นผนึกกำลังอย่างพร้อมเพรียง
เริ่มจากโตรอนโต เปิดตัวแคมเปญ “Love Local” โดยระบุว่า การสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นคือการเสริมสร้างความยั่งยืนของเมือง
เมืองบรานต์ฟอร์ด จัดแคมเปญ “Buy Canadian, Shop Local” เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ หรือ เมืองนอร์ทแวนคูเวอร์ ลงมติผ่านนโยบาย Buy Local อย่างเป็นทางการ เพื่อส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ถึงรัฐบาลสหรัฐ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงในห้างร้านทั่วประเทศ ก็คือซูเปอร์มาร์เก็ตและเชนค้าปลีกใหญ่ เช่น Loblaw, Metro, Sobeys เริ่ม เพิ่มพื้นที่จำหน่ายสินค้าจากผู้ผลิตท้องถิ่น ติดฉลาก “Made in Canada” อย่างเด่นชัด และลดการนำเข้าสินค้าบางรายการจากสหรัฐฯ ลงอย่างเงียบ ๆ
เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท
แอปพลิเคชันชื่อ “Scan the Maple” ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคสามารถสแกนบาร์โค้ดสินค้าผ่านมือถือเพื่อทราบแหล่งที่มา พร้อมรับคำแนะนำเกี่ยวกับสินค้าที่ผลิตในแคนาดาแทนที่สินค้านำเข้า
ผลสะท้อนจากสังคม "Buy Local" ไม่ใช่แค่คำโฆษณา
ผลสำรวจจาก Angus Reid ระบุว่า:
- 87% ของประชาชนชาวแคนาดาสนับสนุนแนวทาง Buy Local อย่างเต็มที่
- 72% ยินดีจ่ายแพงขึ้น หากมั่นใจว่าสินค้านั้นช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจในประเทศ
- 64% เห็นว่านโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เป็น “การกลั่นแกล้งทางเศรษฐกิจ”
อย่างไรก็ตาม ความนิยมต่อแนวคิด Buy Local ยังนำมาซึ่งปัญหาบางประการ เช่น การติดฉลากสินค้าไม่ตรงจริง (fraudulent labeling) ซึ่งทำให้สำนักงานผู้บริโภคของรัฐบาลต้องเข้าตรวจสอบและปรับระบบการรับรองสินค้าภายในประเทศให้เข้มงวดขึ้น
ผลกระทบเชิงโครงสร้าง: Buy Local กับความมั่นคงระยะยาว
แม้นโยบาย Buy Local จะถูกจุดประกายจากแรงกดดันภายนอก แต่มันกลับจุดไฟให้แคนาดากลับมาทบทวนระบบเศรษฐกิจของตนเองในระยะยาว ดังนี้:
- การกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทาน: บริษัทหลายแห่งเริ่มลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และหันมาสร้างฐานการผลิตภายในประเทศมากขึ้น
- การสร้างงาน: ความต้องการสินค้าท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดการจ้างงานใหม่ในภาคเกษตรและการผลิต
- การเติบโตของ SME: ผู้ประกอบการขนาดเล็กได้รับโอกาสเข้าถึงตลาดมากขึ้น โดยไม่ถูกกลืนไปกับสินค้านำเข้า
นโยบาย Buy Local จึงไม่ได้เป็นแค่แคมเปญทางเศรษฐกิจ แต่คือการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของแคนาดา ประเทศที่เชื่อในพลังของประชาชน ความยืดหยุ่น และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ในวันที่โลกเต็มไปด้วยสงครามภาษี การเมืองการค้า และความไม่แน่นอน แคนาดาแสดงให้เห็นว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจสามารถสร้างได้จากภายใน และการสนับสนุนกันเอง คือ “คำตอบ” ที่ไม่ต้องใช้การตอบโต้เชิงความรุนแรงเลย
สรุปไทม์ไลน์สำคัญของนโยบาย Buy Local ในแคนาดา
ปี |
เหตุการณ์สำคัญ |
1980s–1990s |
แนวคิด "Buy Canadian" เริ่มปรากฏในระดับชุมชน เน้นสินค้าการเกษตรและงานฝีมือ |
2008–2009 |
วิกฤตเศรษฐกิจโลกกระตุ้นให้เกิดการสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นในหลายจังหวัด |
2018 |
เริ่มมีการใช้แคมเปญ “Buy Canadian” เพื่อตอบโต้นโยบายขึ้นภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียมของรัฐบาลทรัมป์ |
2020 (โควิด-19) |
โครงการ Buy Local ขยายตัวในหลายเมือง เช่น โตรอนโต มอนทรีออล แวนคูเวอร์ เพื่อช่วยธุรกิจท้องถิ่นรอดจากการล็อกดาวน์ |
2025 |
Buy Local กลายเป็นมาตรการระดับประเทศ เพื่อรับมือกับการขึ้นภาษีรอบใหม่จากสหรัฐฯ โดยมีการรณรงค์ร่วมระหว่างภาครัฐ ท้องถิ่น และภาคเอกชน |
ข้อสังเกต:
- แคนาดาไม่เคยมี “กฎหมาย Buy Local” ระดับชาติอย่างเป็นทางการ แต่เน้น แคมเปญส่งเสริม ผ่านการรณรงค์ ภาษีสนับสนุน หรือโครงการท้องถิ่น
- แนวคิดนี้ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมของประชาชน โดยเฉพาะในชนบทและกลุ่ม SME ที่มองว่า “เงินควรหมุนเวียนในชุมชนก่อนออกไปต่างประเทศ”
สรุปนโยบายต่อต้านการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จากประเทศต่างๆ ณ วันที่ 5 เมษายน 2025
แนวโน้มการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2025 ได้จุดชนวนให้เกิด “แนวนโยบายตอบโต้” ทั่วโลก โดยประเทศต่างๆ เลือกใช้วิธีที่หลากหลาย ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ในการปกป้องเศรษฐกิจของตนเอง บางประเทศเลือกใช้มาตรการภาษีตอบโต้ ขณะที่บางประเทศเลือกเดินเกมนุ่มนวล เช่น การส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ หรือการเร่งเจรจาการค้ากับคู่ค้าอื่นแทนสหรัฐฯ
🇨🇳 จีน – “ภาษีตอบโต้แบบทันที + ยกระดับการพึ่งพาตนเอง”
- ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มากกว่า 34% ในหลายหมวด เช่น ถั่วเหลือง เครื่องยนต์ เครื่องจักร
- ระงับการสั่งซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว
- สนับสนุนโครงการ “Dual Circulation” (การหมุนเวียนภายใน-ภายนอก) เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
🇨🇦 แคนาดา – “แคมเปญ Buy Local แบบเต็มสูบ”
- ส่งเสริมการใช้สินค้าในประเทศผ่านแคมเปญ “Keep it Canadian”
- ห้างร้านนำสินค้าจากสหรัฐออกจากชั้นวาง
- รัฐบาลอุดหนุนผู้ผลิตท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ
- ยังไม่ใช้มาตรการภาษีตอบโต้ในทันที
🇪🇺 สหภาพยุโรป (EU) – “กดดันผ่าน WTO + ภาษีตอบโต้แบบเป้าหมาย”
- ประกาศเตรียมใช้ ภาษีตอบโต้แบบสมมาตร (reciprocal tariffs) หากสหรัฐฯ ไม่ยอมเจรจา
- ยื่นเรื่องฟ้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ฐานละเมิดข้อตกลงการค้าเสรี
- เตรียมกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ เช่น วิสกี้ เนื้อวัว รถยนต์ไฟฟ้า
🇬🇧 สหราชอาณาจักร – “การทูตเศรษฐกิจ + มาตรการป้องกันภายใน”
- นายกฯ Keir Starmer เรียกร้องให้เปิดการเจรจาโดยเร็ว
- กระตุ้นภาคเอกชนกระจายตลาดส่งออกไปยัง EU และเอเชีย
- เริ่มเจรจาเร่งด่วนกับอินเดียและอาเซียนเรื่องข้อตกลงการค้า
🇩🇪 เยอรมนี – “เพิ่มเงินสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศ”
- กระทรวงเศรษฐกิจเตรียมงบช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องจักรที่ได้รับผลกระทบ
- ส่งเสริม “Made in Germany” ให้เข้มข้นขึ้นผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
- เรียกร้องให้ EU ดำเนินนโยบายรวมศูนย์รับมือภาษีสหรัฐ
🇯🇵 ญี่ปุ่น – “เจรจานิ่ง + รักษาผลประโยชน์”
- ยังไม่ประกาศภาษีตอบโต้โดยตรง แต่ส่งทูตเศรษฐกิจไปเจรจาทางการค้าอย่างเงียบๆ
- อุดหนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนเทคโนโลยีที่ส่งออกไปยังสหรัฐ
- สนับสนุนภาคธุรกิจย้ายตลาดไปยังอาเซียน
🇲🇽 เม็กซิโก – “ตั้งกำแพงอ่อน + ผลักดันการค้าในละตินอเมริกา”
- เตรียมพิจารณาขึ้นภาษีเฉพาะสินค้าสหรัฐที่ไม่กระทบต้นทุนภายในมากนัก
- เร่งเจรจาการค้ากับบราซิล เปรู และโคลอมเบีย เพื่อขยายตลาดส่งออก
- สนับสนุนผู้ประกอบการ SME ให้เข้าถึงทุนง่ายขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน
🇦🇺 ออสเตรเลีย – “ประณามอย่างเป็นทางการ + ใช้เวทีระหว่างประเทศ”
- ออกแถลงการณ์ตำหนินโยบายสหรัฐว่าเป็นการทำลายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
- เตรียมยื่นเรื่องต่อ APEC และ WTO เพื่อขอเปิดโต๊ะเจรจา
- ส่งเสริมแคมเปญ “Australian Made” คล้ายกับแคนาดา
🇮🇳 อินเดีย – “ใช้โอกาส + เพิ่มอิทธิพลในเอเชีย”
- ชูอินเดียเป็น “ทางเลือกแทนจีน” สำหรับห่วงโซ่อุปทานที่หนีภาษีสหรัฐ
- เร่งดึงดูดนักลงทุนจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ EU
- ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐบางรายการ เช่น เครื่องสำอาง และของเล่น