ถอดโมเดล "Bioplustiq" แบรนด์นวัตกรรม"รักษ์โลก"

     "คุณป๊อป แสงชัย จิตบุญทวีสุข" ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) บริษัท สหชัยโปรโมชั่น จำกัด เล่าว่า จุดเริ่มต้นของ "สหชัยโปรโมชั่น" เริ่มจากที่คุณพ่อ "สุวิทย์ จิตบุญทวีสุข" ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าของใช้ในครัวเรือนที่ผลิตจากพลาสติก อาทิ เก้าอี้พลาสติก ซึ่งในปัจจุบันมียอดขายอันดับหนึ่งของประเทศ รวมถึงผลิตตระกร้าใส่เสื้อผ้า , กระติกน้ำ เป็นต้น ภายใต้ "แบรนด์ สหชัยโปรโมชั่น" ที่อยู่คู่ครัวไทยมาอย่างยาวนาน

     การเข้ามารับช่วงต่อธุรกิจจากคุณพ่อถือเป็นความท้าทายอย่างมาก ผมมุ่งมั่นตั้งใจและต้องพิสูจน์ให้คุณพ่อเห็นว่า Gen 2 สามารถพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้เติบโตในอนาคตได้ สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อสอนตั้งแต่เด็กว่าในการตลาดหรือทำอะไรก็ตาม "ถ้าไม่ก้าวหน้า จงอย่าถอยหลัง" ถือเป็นแรงผลักดันให้ผมไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาตัวเอง และพัฒนาสินค้าใหม่ๆอยู่เสมอ

     ดังนั้น เป้าหมายสำคัญ มี 2 เรื่องนั่นก็คือ เรื่องแรก เรายังคงเดินหน้าผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับของใช้ในครัวเรือน เพื่อรองรับ Mass Market ซึ่งเป็นตลาดผู้ซื้อหลักในประเทศ พร้อมทั้งรับผลิตแบบ OEM ให้กับลูกค้ารายใหญ่หลากหลายแบรนด์ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

     ส่วนเรื่องที่สอง ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ปัญหาสิ่งแวดล้อม ขยะพลาสติกเกิดขึ้นมากมาย จึงเป็นจุดเปลี่ยนให้เราพัฒนาผลิตภัณฑ์ "รักษ์โลก" ภายใต้แบรนด์ "Bioplustiq" ที่ใช้นวัตกรรมพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้เป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ปริมาณพลาสติก กลุ่มเป้าหมายหลักคือตลาดต่างประเทศที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และไม่สร้างมลพิษต่อโลก

     ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและขยะต่างๆ ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เราค่อนข้างให้ความสำคัญ ถึงขั้นศึกษาและวิจัยอย่างจริงจังว่าจะสามารถนำของเหลือใช้ในประเทศ เช่น เปลือกผลไม้ เป็นต้น นำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์รักษ์โลกของเราได้หรือไม่ สิ่งไหนที่ทำได้ต้องทำทันที

     และอีกโจทย์หนึ่งที่สำคัญคือ ผลิตภัณฑ์ของเรานอกจากจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คุณภาพได้มาตรฐานระดับสากล ในส่วนของ "ราคา" ต้องเข้าถึงได้ง่าย จับต้องได้ง่าย ราคาไม่แพง เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมรักษ์โลกไปด้วยกันได้ นี่คือปณิธานของเรา

     "ที่ผ่านมาแบรนด์ Bioplustiq ร่วมออกบูทในต่างประเทศ ถือว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างดี อาจเพราะผลิตภัณฑ์ของเราที่นำไปโชว์ผลิตจากเยื่อกัญชง ด้วยคุณสมบัติของเส้นใยที่มีความเหนียว ทนทานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงค่อนข้างได้รับความนิยม

     ซึ่งเราจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้แต่จะเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และขยะจากอุตสาหกรรม อาทิ แกนกัญชง แกลบ เศษไม้ ลดปริมาณขยะพลาสติก ต่อยอดสินค้ารีไซเคิลให้เป็นสินค้าใหม่ สร้างสินค้า Multi-Functional Design ที่ดีต่อโลก ดีต่อสิ่งแวดล้อมออกมาอีกจำนวนมาก"

     และเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เราจึงต้องเร่งกลยุทธ์ทางการตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด โดยเราหวังเพิ่มสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์รักษ์โลกภายใต้แบรนด์ Bioplustiq แตะระดับ 5-10% จากปัจจุบันรายได้หลักมาจากผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน สัดส่วน 95% ขณะที่ผลิตภัณฑ์ของเราทั้งหมดราว 1,500 SKU(Stock Keeping Unit) จากเดิมมีผลิตภัณฑ์จำนวน 500 SKU ถือเป็นการเติบโตที่ดีและคาดว่าเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

     สิ่งที่อยากบอกกับผู้ที่สนใจทำธุรกิจ หรือ เริ่มทำธุรกิจไม่ว่าจะเป็น SME หรือ Start Up ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจ ก็คือ "กระแสเงินสด" ที่ผ่านมาคุณพ่อ "สุวิทย์ จิตบุญทวีสุข" เข้มงวดต่อการบริหารจัดการเงิน ต้นทุน สินค้า และคุณภาพอย่างมาก คุณพ่อสอนเสมอว่า "อย่ากู้เงินมาทำธุรกิจ" เพราะหากบริหารจัดการไม่ดีอาจเกิดปัญหาในวันข้างหน้าได้

     และเมื่อธุรกิจมีกำไรให้แบ่งเงินส่วนหนึ่งนำมาขยายกิจการ แต่ถ้ายังขาดทุนก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขยายธุรกิจ ด้วยแนวคิดของคุณพ่อจึงก่อร่างสร้างธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง แม้เราอาจจะไม่โตหวือหวา แต่เราเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง นี่คือหลักยึดที่ผมนำมาใช้ในการคิดวางแผนและปฏิบัติจวบจนทุกวันนี้ 

     "การทำธุรกิจ Cash Flow ถือว่าสำคัญในการทำมาร์เก็ตติ้งหรือโปรโมชั่นต่างๆ โดยเฉพาะ SME เราต้องวิเคราะห์จุดนี้ให้ได้ ต้องวิเคราะห์งบดุล ซึ่งเป็นปัญหาหลักของ SME รุ่นใหม่ที่ทำแล้ว หากสินค้าขายไม่ได้จะทำอย่างไร อย่าลืมว่า Life Cycle ของสินค้าจะเปลี่ยนแปลงทุกๆ 5-10 ปี สินค้าเดิมจะขายไปเรื่อยๆอาจเป็นไปไม่ได้กับตลาดยุคนี้ 

     และนอกจากพัฒนาสินค้า ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาคอนเทนท์มาร์เก็ตติ้งตลอดเวลา ในยุคสมัยของคุณพ่อความต้องการของผู้บริโภคในยุคนั้นจะเป็นคนละแบบกับยุคปัจจุบัน เราต้องรู้จักปรับตัวเสมอ อย่างตัวผมเองหากมีเวลา 1 ชั่วโมง ผมจะใช้เวลา 55 นาทีวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด และใช้เวลา 5 นาทีเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา เพราะถ้าเราไม่มีวิธีคิดที่เป็นระบบอาจจะหาทางออกได้ยากและโอกาสเกิดปัญหาเดิมซ้ำๆอาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงต้องคิด วิเคราะห์ และแก้ไขให้ถูกจุดจึงเป็นเรื่องสำคัญ"