SME ต้องปรับตัวรับผลกระทบการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ความท้าทายใหม่ของธุรกิจ
ศูนย์วิจัยกสิการไทยชี้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปี 2568 ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทยในวงกว้าง โดยเฉพาะธุรกิจกลุ่ม SME ที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุน
คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศในอัตราที่แตกต่างกันตามพื้นที่ ส่งผลให้ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 2.9% จาก 345 บาทต่อวัน เป็น 355 บาทต่อวัน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568
การปรับขึ้นครั้งนี้มีความน่าสนใจตรงที่มีการกำหนดอัตราค่าแรงแตกต่างกันตามศักยภาพทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ โดยพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ภูเก็ต และเกาะสมุย มีการปรับขึ้นสูงสุดเป็น 400 บาทต่อวัน ตามมาด้วยอำเภอเมืองเชียงใหม่และอำเภอหาดใหญ่ที่ 380 บาทต่อวัน ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลปรับขึ้น 2.5% เป็น 372 บาทต่อวัน และจังหวัดที่เหลือปรับขึ้น 2%
ผลกระทบที่แตกต่างตามประเภทธุรกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าการปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไม่เท่ากัน โดยธุรกิจที่พึ่งพาแรงงานทักษะต่ำในสัดส่วนสูงจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะภาคเกษตรที่มีแรงงานถึง 76% ได้รับค่าแรงต่ำกว่า 10,000 บาทต่อเดือน ตามมาด้วยธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร (46%) ก่อสร้าง (46%) การผลิต (36%) และค้าปลีก-ค้าส่ง (35%)
อย่างไรก็ตาม ระดับผลกระทบยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ขนาดของธุรกิจ โดยธุรกิจขนาดใหญ่มักมีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า SME นอกจากนี้ ภาคการผลิตที่สามารถนำเทคโนโลยีมาทดแทนแรงงานได้ ก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าภาคบริการที่ยังต้องพึ่งพาแรงงานคนเป็นหลัก
ความท้าทายระยะยาวของการแข่งขัน
การปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นความท้าทายในระยะยาวของประเทศไทย เมื่อพิจารณาว่าปัจจุบันต้นทุนแรงงานไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอย่างอินโดนีเซียและเวียดนาม ประกอบกับการที่ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้การรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศจำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะแรงงานและการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน
แนวทางการปรับตัวของภาคธุรกิจ
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวในหลายด้าน ทั้งการเร่งยกระดับผลิตภาพแรงงาน การปรับโครงสร้างการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การพัฒนาทักษะแรงงานอย่างต่อเนื่อง และการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SME ที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุนและเทคโนโลยี อาจต้องได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากภาครัฐเพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง