Geedoong Hand Craft “จากมือชุมชน สู่พรมคุณภาพ”เทียบชั้นโมเดิร์นเทรด
ค้นหาความหมาย พรมเช็ดเท้าวิสาหกิจชุมชน Geedoong ภาษาส่วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาษาท้องถิ่นของจังหวัดสุรินทร์ แปลว่า “กลับบ้าน” ด้วยการตีความจากความหมายของคำว่า กลับบ้าน คือ การกลับมาทำงานในพื้นที่ จนเกิดการยกระดับพรมเช็ดเท้าสู่ดีไซน์ทันสมัย
จากบริบทชุมชนของจังหวัดสุรินทร์ ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้น้อย และไม่มีอาชีพเสริม ประกอบกับบริบทพื้นที่มีโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับผ้าประมาณ 2-3 แห่ง ชัชวาลย์ บุสยาตรัส ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนพรมเช็ดเท้า บ้านตรึม อำเภอสีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ จึงเกิดแนวคิดนำเศษผ้าสำลีเหลือใช้จากโรงงานมาผลิตเป็นพรมเช็ดเท้า เนื่องจากผ้าสำลีมีคุณสมบัติเรื่องความหนาและนิ่ม ซักง่าย จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการช่วยส่งเสริมอาชีพให้กับชุมชนและลดขยะจากเศษผ้า
เริ่มทำตั้งแต่ ปี 2549 ก่อนหน้านี้ได้จดเป็นวิสาหกิจชุมชนพรมเช็ดเท้าบ้านตรึม อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ในขณะนั้นเรามีคณะกรรมการอยู่ 6 คน มีสมาชิกอยู่กว่า 10 กว่าคน โดยไปรับซื้อจากชาวบ้านที่ทอพรมเช็ดเท้าเพื่อนำไปขาย ทำมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีการระบาดของโควิด หลังจากนั้นจึงได้เข้าร่วมอบรมกับหลักสูตรธุรกิจปันกัน
สำหรับหลักสูตรธุรกิจปันกัน คือหลักสูตรภายใต้กรอบวิจัย“การพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการในพื้นที่ (Local Enterprises) บนฐานทรัพยากรพื้นถิ่น เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่" ของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ที่เป็นการพัฒนา "ธุรกิจชุมชน" ด้วยแนวคิดการทำงาน "คน-ของ-ตลาด"
ปรับเปลี่ยน mindset เพิ่มความสามารถทำธุรกิจ
บัณฑิต อินณวงศ์ ในฐานะผู้อำนวยการ กรอบวิจัย Local Enterprises ให้ข้อมูลว่า หลักสูตรปันกันจะต่างจากหลักสูตรธุรกิจอื่นๆ คือ การใช้กระบวนการโค้ช มาช่วยเจ้าของธุรกิจแต่ละรายได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองด้วยข้อมูลที่เป็นของเขาเอง โดยผ่านตัวช่วยสำคัญ 3 ตัวคือ SUPER COACH ซูเปอร์ผู้ใหญ่บ้านปันกัน การเชื่อม ช่วย เชียร์ ปรับเปลี่ยน mindset ให้กับผู้ประกอบการ
เพิ่มพูนความสามารถในการทำธุรกิจ การเก็บข้อมูล การทำการตลาด ผ่านการทำกิจกรรมหลากหลาย SUPER BOARD GAME ซูเปอร์บอร์ดเกมกลยุทธ์ธุรกิจ ที่จะปลูก skillset ให้กับผู้ประกอบการทุกระดับตามความเหมาะสม และ SUPER APP ที่เป็นระบบฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการธุรกิจชุมชนอย่างเป็นระบบ เช่น อาทิ กระเป๋าตังค์ครัวเรือน กระเป๋าตังค์ธุรกิจ สมุดบันทึกการผลิต การจัดการห่วงโซ่คุณค่า เป็นต้น โดยมีเป้าหมายมุ่งให้เกิดธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบในพื้นที่ เกิดจ้างงานในพื้นที่ และเกิดกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานราก
ออกแบบและสร้างแบรนด์เทียบชั้นโมเดิร์นเทรด
นารีนาถ พวงจีน ผู้ช่วยวิจัยภายใต้โครงการธุรกิจปันกัน ในฐานะ Super Coach ของ วิสาหกิจชุมชนพรมเช็ดเท้า บ้านตรึม กล่าวว่า ในส่วนของวิสาหกิจชุมชนพรมเช็ดเท้าของนายชัชวาล ที่เข้าอบรมในหลักสูตรธุรกิจปันกันตั้งแต่ปี 2563
นอกเหนือตัวหลักสูตรธุรกิจปันกัน ที่เป็นการพัฒนา “คน” ในปีแรกแล้ว ในปีต่อมาทางโครงการได้มีการหนุนเสริมในเรื่องการจัดการการเงินและการตลาด (ผ่านการรู้จักลูกค้า) จากนั้นจึงพัฒนาต่อในเรื่องการออกแบบและการสร้างแบรนด์โดยมีทีมงานเข้ามาช่วยทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ เป็นลำดับ
จุดเริ่มต้นเริ่มจาก Pain Point ของผู้ประกอบการในขณะนั้น คือเกิดปัญหาโควิดและต้องการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย ให้เป็นที่น่าสนใจของตลาด ตอนนั้นมีการอบรมการบันทึกรายรับรายจ่ายของแต่ละหมวดบัญชีครัวเรือน รวมถึงการตลาด โดยทำความเข้าใจสามารถวิเคราะห์ลูกค้าได้ว่าลูกค้าของเราคือใคร ลูกค้าประจำและลูกค้าไม่ประจำต่างกันอย่างไร
หลังจากนั้นจึงลงลึกไปยังรายละเอียดปลีกย่อย ทั้งเครือข่ายการทำงานและการหนุนเสริมแต้มต่อของการทำธุรกิจ ซึ่งตนเองในฐานะ Super จะเป็นจะเป็นเสมือนเพื่อนช่วยคิด และคนให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ธุรกิจเขาเติบโตไปได้อย่างเหมาะสม
สอดคล้องกับ ชัชวาลย์ ที่ระบุว่า ปัจจุบันคู่แข่งทางการตลาดพรมเช็ดเท้ามีจำนวนมากโดยเฉพาะตลาดจากประเทศจีน เนื่องจากเทคโนโลยีการทอที่ทันสมัยกว่า ประกอบกับราคาถูกกว่า โจทย์คือทำอย่างไรเพื่อให้พรมเช็ดเท้าของไทยสามารถแข่งขันทางการค้าได้
ชัชวาลย์ บุสยาตรัส ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนพรมเช็ดเท้า บ้านตรึม อำเภอสีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์
พอได้รับความรู้จากหลักสูตรธุรกิจปันกันในเรื่องการดูเป้าหมายคู่แข่งของเรา ลักษณะฝีมือการทอต้องแน่น มีคุณภาพ มีการออกแบบลวดลายและวางกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าที่ซื้อเป็นใคร เพราะตอนแรกเราคิดว่าเป้าหมายคือใครก็ได้
เมื่อได้วิเคราะห์แบบเจาะลึก พบว่าเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแม่บ้านและกลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชอบทำความสะอาดบ้าน และขยายฐานลูกค้าที่เป็นโมเดิร์นเทรด ทำให้มีโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและฐานลูกค้าใหม่ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ พรมที่วางจำหน่ายมีไซส์มาตรฐาน ขนาด 40 × 60 นิ้ว โดยขายในกลุ่มแม่บ้าน เกษตรกร มีลวดลายหลากสี ขณะที่ลูกค้าในกลุ่มโมเดิร์นเทรด ขยับเป็นไซส์ที่ใหญ่ขึ้น มีลวดลายที่หลากหลาย บางผืนบอกเล่าเรื่องราวของบริบทชุมชน เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการซื้อในกลุ่มโมเดิร์นเทรด นอกจากจะนำไปเช็ดทำความสะอาดแล้วยังมีการประดับตกแต่งสถานที่ด้วย
ปราณี สมศักดิ์ อายุ 48 ปี ประธานกลุ่มวิสาหกิจพรมเช็ดเท้าบ้านอำปึล
ปราณี สมศักดิ์ อายุ 48 ปี ประธานกลุ่มวิสาหกิจพรมเช็ดเท้าบ้านอำปึล หมู่ 6 ตำบลสะกาด อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นเครือข่ายการทอพรมส่งให้กับผู้ประกอบการ เล่าว่า เริ่มทอเป็นงานอดิเรกกว่า 10 ปี สามารถทอได้วันละ 20 ผืน เนื่องจากมีเครื่องทอจึงทอได้ง่ายและรวดเร็ว
สำหรับการทอพรมมีข้อจำกัดคือ สีผ้าที่ได้มาจากโรงงานมักจะไม่ค่อยมีสีสัน จึงทำให้ออกแบบลวดลายแต่ละผืนได้น้อย โดยพบว่า ผืนที่มีลวดลายและมีสีสันจะขายง่ายว่าผืนที่มีเฉพาะสีพื้นอย่างเดียว
เธอเล่าว่า ตอนแรกเริ่มจากการทอคนเดียว โดยไปรับผ้ามาจากโรงงานโดยมีพี่ชัชวาลย์เป็นคนมารับไปขาย จากนั้นมีคนในหมู่บ้านสนใจหลายคนจึงรวมตัวจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจพรมเช็ดเท้าบ้านอำปึล ซึ่งการทอที่ได้มาตรฐานคือ ต้องผ้าแน่นไม่มีช่องว่างให้แหย่เข้าไปได้ ส่วนลายที่ทอเป็นลายพื้นขาวดำ มีสีบ้างแล้วแต่ล็อตของผ้าที่ไปรับมาจากโรงงาน บางทีมีสีแดง สีแสด สีเขียว เข้ามาบ้าง ทำให้สามารถออกแบบลวดลายได้สวยและมีสีสัน
ปัจจุบัน พรมเช็ดเท้าวิสาหกิจชุมชนฯ มีแบรนด์ภายใต้ชื่อ “จีดุง” มาจากเป็นภาษาส่วยซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาษาท้องถิ่นของจังหวัดสุรินทร์ แปลว่า “กลับบ้าน” โดยตีความจากความหมายของคำว่ากลับบ้านคือการกลับมาทำงานในพื้นที่
พรมสุรินทร์สามารถสร้างรายได้สร้างอาชีพเสริมให้กับคนในชุมชน รายได้เฉลี่ยคน ต่อเดือน เดือนละ 5,000 บาทขึ้นไป ซึ่งขึ้นอยู่กับเวลาการทอของแต่ละคน มีสมาชิก 80 คน ขยายเครือข่ายไปยังจังหวัดอื่นๆ ใกล้เคียงกว่า 300 ครัวเรือน และขายส่งให้กับตัวแทนจำหน่ายในประเทศ