SME ยังต้องเดินหน้ามุ่งสู่ความยั่งยืน แม้ทรัมป์ไม่แคร์โลกเดือด
SME ยังต้องเดินหน้ามุ่งสู่ความยั่งยืน แม้ทรัมป์ ไม่แคร์โลกเดือด จับตานโยบายต่างประเทศ ประเมินความเสี่ยง ปรับตัว สร้างเอกลักษณ์แบรนด์ ก้าวข้ามสู่ธุรกิจมูลค่าสูง
สัญญาณความผันผวน และความไม่แน่นอนสั่นสะเทือนไปทั้งโลกทันทีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยที่ 2 นโยบาย “The American first” ที่เน้นผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญ ทำให้การค้าระหว่างประเทศสั่นคลอนสร้างความท้าทายต่อผู้ประกอบการ และ SME ที่อยู่ในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ไม่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งประเด็นใหญ่คือการประกาศยกเลิกความตกลงปารีส ที่เป็นกรอบความร่วมมือของสหประชาชาติที่ต้องการลดอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นให้น้อยกว่า 2 องศาเซลเซียส ขณะเดียวกันก็ยังมุ่งขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ สวนทางกับหลายประเทศที่ให้ความสำคัญกับนโยบายความยั่งยืน ส่วนธนาคารในสหรัฐฯ หลายแห่งประกาศถอนตัวจากกลุ่ม the Net-Zero Banking Alliance (NZBA) คาดว่าจะกระทบต่ออนาคตการเงินสีเขียว
เนื่องจากการเข้ามาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้สถาบันการเงินต้องลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ โดยในช่วงก่อนทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ได้มีการฟ้องศาลและเสนอกฎหมายต่อต้าน ESG ว่านโยบายลดก๊าซเรือนกระจก ของสถาบันการเงินเป็นการเลือกปฏิบัติ และขัดขวางการดำเนินธุรกิจอย่างเสรีของอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมันและถ่านหิน
ซึ่งกฎหมายอยู่ในขั้นตอนพิจารณา รัฐที่มีการฟ้องร้องหรือมีการออกกฎหมายต่อต้าน ESG มีจำนวน 22 รัฐ ทำให้สถาบันการเงินชั้นนำ มองว่า อาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีการฟ้องร้องมากขึ้นหากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาดำรงตำแหน่งในช่วง 4 ปีข้างหน้า (2568-2572)
อย่างไรก็ดีธนาคารที่ออกจากกลุ่ม NZBA จะยังคงสนับสนุนลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านไปสู่เป้าหมายลดก๊าซฯ เหมือนเดิม แต่อาจมีการปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจของลูกค้า ซึ่งล้วนมีบริบทที่แตกต่างกัน
ไทยยังคงต้องเดินหน้าเพื่อบรรลุ Net Zero ในปี 2065
สำหรับประเทศไทย แม้ธนาคารพาณิชย์ไทยไม่ได้เข้าร่วมในกลุ่ม NZBA ดังเช่นสถาบันการเงินชั้นนำในต่างประเทศ แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ในไทยยังคงต้องดำเนินนโยบายตามแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065)
เทรนด์ความยั่งยืน 2568 ที่ธุรกิจต้องจับตา
ศูนย์วิจัยกสิกร ยังรายงานด้วยว่า ในปี 2568 ความยั่งยืนจะยังคงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ และอุตสาหกรรมในประเทศ เช่น การปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ภาระผูกพันจากการประชุม COP30 สนธิสัญญาพลาสติกโลก เป็นต้น
นอกจากนี้ มาตรการในประเทศที่จะมีความเข้มงวด ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ภาคธุรกิจ ดำเนินการลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเพิ่มขึ้นเช่นกัน อาทิ ร่าง พร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาด UGT1, การห้ามนำเข้าเศษพลาสติก เป็นต้น
อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง จะได้รับผลกระทบทางตรง อย่างไรก็ดีอานิสงส์ของการเปลี่ยนตลาดการส่งออกของจีน และการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ทดแทนสินค้าจีน จะส่งผลต่อดีต่อผู้บริโภคในประเทศ และอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกในระยะสั้น โดยเฉพาะกับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นโยบายต่างประเทศกระทบอย่างไรต่อผู้ประกอบการไทย?
1.มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM)
ผู้นำเข้าสินค้าเป้าหมายตามมาตรการ CBAM จะต้องเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 80 ยูโร หรือประมาณ 2800 บาทต่อปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ตันที่เกิดจากการผลิตสินค้าดังกล่าว
ในปี 2568 จะเป็นปีสุดท้ายของการดำเนินการเฟสแรกของมาตรการ CBAM ผ่อนผันให้แค่รายงานผลการปล่อยการเรือนกระจกเท่านั้น และจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียม CBAM Cerfiticate ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
โดยสหภาพยุโรปจะทยอยประกาศระเบียบข้อบังคับและแนวปฏิบัติเช่นการเข้าไปรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผู้ผลิตสินค้าดังกล่าวในระบบ เพื่อส่งข้อมูลให้ EU ได้โดยตรงรวมถึงแนวปฏิบัติอื่นๆให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบภายในปีนี้
2.ความร่วมมือระดับโลก COP 30
ในเดือนพฤศจิกายน 2568 จะมีการประชุม COP30 ซึ่งจะกำหนดให้ทุกประเทศส่งแผนเพื่อลดการปล่อยการเรือนกระจกใหม่ โดยเพิ่มความพยายามในการลดผลกระทบต่อสภาพพูมิอากาศ รวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศอื่นๆ เช่น สนธิสัญญาพลาสติกโลก, ภาระผูกพันจากการประชุมครั้งก่อน, การเข้าร่วม Climate Market Club ของ World Bank ที่ส่งผลให้เป้าหมายและแผนการดำเนินการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกของไทยให้มีรูปธรรมมากขึ้น
3.ผลกระทบจาก Trad War และการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์
ไทยมีความเสี่ยงอาจเป็นหนึ่งในประเทศที่อาจถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้น และอาจได้รับผลกระทบจากการไหลทะลักของสินค้าจีน เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐในระดับสูง และแนวโน้มการกีดกันทางการค้ากับประเทศจีนจากนโยบายของทรัมป์
สินค้าส่งออกที่ช่วยลดการปล่อยการเรือนกระจกอาจได้รับอานิสงส์ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า, แผงโซลาร์เซลล์,แบตเตอรี่เป็นต้น ถึงแม้อาจโดนกำแพงภาษีแต่น่าจะมีอัตราต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตจากหรือเป็นสินค้าของบริษัทสัญชาติจีน
ผลกระทบต่อประเทศไทย คือ อุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงจะได้รับผลกระทบทางตรง เช่น เหล็ก, อะลูมิเนียม, ซิเมนต์, พลาสติก โดยจะมีความยุ่งยากในการดำเนินการให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมการรายงานปริมาณการปล่อยการเรือนกระจกของการผลิตสินค้าของตนเองได้มาตรฐาน รวมถึงอาจมีต้นทุนค่าธรรมเนียมแก่ประเทศนำเข้าสินค้า และค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบ
ส่วนผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ ธุรกิจที่ไม่ได้เป็นธุรกิจส่งออก หรือเป็นเป้าหมายของมาตรการ แต่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทที่เกี่ยวข้อง โดยอาจเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับบริษัทที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคและผู้ส่งออกไทยอาจได้รับผลดีในระยะสั้น จากอานิสงส์ของการเปลี่ยนตลาดการส่งออกของจีน และการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐทดแทนสินค้าจีน โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่น รถยนต์ไฟฟ้า, อุปกรณ์ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เป็นต้น
นโยบายในประเทศที่ต้องจับตา
1.ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และคาดว่าจะออกกฏหมายรองเพื่อกำหนดมาตรการบังคับใช้ได้ภายในปี 2569
- กำหนดให้ต้องรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- กลไกการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคบังคับ ได้แก่ภาษีคาร์บอน และระบบการให้สิทธิปล่อยก๊าซเรือนกระจก
กลุ่มธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์ เช่น ธุรกิจบริการประเมินตรวจวัด และการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์, ธุรกิจพลังงานสะอาด เป็นต้น กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ เช่นอุตสาหกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล, เหล็ก, อะลูมิเนียม, ซีเมนต์, พลาสติก ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และเป็นเป้าหมายของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของต่างประเทศ
2. ไฟฟ้าสีเขียว Utility Green Tarriff (UGT) โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดซึ่งสามารถใช้เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในสโคปที่สองสามารถซื้อได้โดยเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มในอัตรา 0.0527-0.0594 บาท/หน่วย นอกจากนี้ในระยะถัดไปอาจมีไฟฟ้าสีเขียวแบบเจาะจงแหล่งที่มาที่สามารถระบุแหล่งที่มาของไฟฟ้าได้โดยจะอยู่ในรูปแบบสัญญาระยะยาว
3.Power Development Plan :PDP ฉบับใหม่ ที่จะเน้นผลิตไฟฟ้า จากพลังงานสะอาดในสัดส่วนมากขึ้นเป็น 51% แบ่งเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ 16% พลังงานหมุนเวียนอื่นๆ 16% และพลังงานพลังงานน้ำจากต่างประเทศ 15% ที่จะนำเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ไปเป็นปัจจัยกำหนดนโยบายการผลิตไฟฟ้าของประเทศสำหรับช่วงปี 2567 ถึง 2580
โดยกลุ่มธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, โรงไฟฟ้าขยะชุมชน ธุรกิจที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ไฟฟ้า รวมถึงธุรกิจพัฒนาและวิจัยแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงาน
4.กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น พระราชบัญญัติอากาศสะอาด, กฎหมายควบคุมมลพิษทางอากาศ, กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุม และจัดการขยะพลาสติก ที่จะคอยควบคุมการดำเนินการของโรงงาน และธุรกิจเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเข้มงวดมากขึ้น
นอกจากนี้คงต้องติดตามการกำหนดนโยบาย และมาตรการอื่นของไทยที่จะมีเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับทิศทาง และบริบทการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของโลก
เอสเอ็มอีต้องจับตาสถานการณ์โลก
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า SME ยังจำเป็นต้องเดินหน้าไปสู่เป้าหมายความยั่งยืน แม้ว่าสถานการณ์ของโลกจะมีความผันผวน
ทั้งหมดเป็นความท้าทายของประเทศไทย ทั้งระดับภาคนโยบาย และภาคเอกชนรวมถึงผู้ประกอบการตลอดจน SME ต้องให้ความสำคัญและตระหนักถึงผลกระทบที่จะตามมา โดยต้องนำปัจจัยเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจและบริหารความเสี่ยงตลอดจนประเมินผลกระทบซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามให้สอดคล้องกับบริบทการค้าที่เปลี่ยนไป
ปรับตัวเพื่ออยู่รอด
SME ต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเอกลักษณ์ของสินค้าและแบรนด์ การเข้าถึงแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ การนำเสนอสินค้าที่มีมาตรฐานสูง ผลิตสินค้าภายใต้เทรนด์ Green , Aging Wellness เพื่อยกระดับเป็นสินค้ามูลค่าสูง
หัวใจของการก้าวข้ามสู่ธุรกิจมูลค่าสูงคือ แนวความคิดของผู้ประกอบการ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และการสร้างคุณค่าของสินค้าและบริการ การสร้างให้เกิดธุรกิจมูลค่าสูงนั้นผู้ประกอบการต้องมีแนวคิดและเข้าใจกลุ่มเป้าหมายสามารถส่งผ่านคุณค่าของสินค้าและบริการไปยังเป้าหมายที่กำหนด โดยทำให้เกิดความต้องการเชิงอารมณ์มองข้ามปัจจัยด้านราคา