แปลงกาย ‘ข้าวไทย’ เพิ่มมูลค่า ชาวนาไม่มีจน
ต่อไปนี้ชาวนาไทยจะไม่จนอีกต่อไป เพราะข้าวไทยสามารถแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่า
โดย...วราภรณ์ เทียนเงิน
ต่อไปนี้ชาวนาไทยจะไม่จนอีกต่อไป เพราะข้าวไทยสามารถแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่า กลายเป็นสินค้าใหม่ที่มีนวัตกรรมได้หลากหลาย ทั้งผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เครื่องสำอาง อาหารว่าง ขนมขบเคี้ยว ผลิตภัณฑ์ยา และผลิตภัณฑ์ของใช้ต่างๆ ที่มีส่วนผสมจากข้าวไทยอีกมากมาย โดยข้าวที่ผ่านการแปรรูปแล้วเป็นสินค้าใหม่จะสร้างมูลค่าเพิ่มได้ตั้งแต่ระดับ 110 เท่า สูงสุดหลายร้อยเท่า ไปจนถึง 2,000 เท่า หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการพัฒนาสินค้า
“ศุภชัย หล่อโลหการ” ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. หนึ่งในหน่วยงานที่ผลักดันการใช้นวัตกรรมข้าวไทย เปิดเผยว่า การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ข้าวไทยเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในขณะนี้ เพราะช่วยแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำให้แก่ชาวนาไทย ที่ปัจจุบันราคาข้าวอยู่ที่ 5,500-12,000 บาทต่อตันเท่านั้น ทำให้ชาวนามีปัญหาเรื่องรายได้และต้องพึ่งพาภาครัฐ แต่หากเปลี่ยนมาใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่าให้แก่ข้าว จะส่งผลให้ข้าวไทยมีมูลค่าเพิ่มได้มหาศาล
ยกตัวอย่างที่ผ่านมา สนช.ได้สนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในข้าวไทย จำนวน 34 ผลงาน เช่น สารเพิ่มปริมาตรในเม็ดยา แป้งพัฟฟ์จากข้าวหอมมะลิ กะทิธัญพืช ครีมเคลือบเงาอเนกประสงค์จากน้ำมันรำข้าวอินทรีย์ น้ำเชื่อมออร์แกนิกจากข้าวไทยพื้นเมือง ชุดครีมบำรุงผิวสารสกัดจากข้าวกล้อง ฯลฯ ขณะเดียวกัน ยังมีเครื่องสำอางแบรนด์ดังจากประเทศญี่ปุ่นได้นำข้าวไทยไปแปรรูปเป็นเครื่องสำอางที่มีมูลค่าสูงมาก เพราะมีผลวิจัยยืนยันชัดเจน ข้าวมีประโยชน์ด้านความงาม
สนช.ตั้งเป้าหมายระยะยาวอยากปรับแนวคิดใหม่ว่า ประเทศไทยไม่ใช่แหล่งปลูกข้าวมากที่สุดเท่านั้น แต่เป็นประเทศที่สามารถแปรรูปข้าวไทยให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่ม และส่งออกมากที่สุดในโลกได้เช่นเดียวกัน เพื่อแก้ปัญหาให้แก่ “ชาวนาไทย” ทั้งนี้ หากเปลี่ยนมาเพิ่มมูลค่าข้าวไทย จะเพิ่มมูลค่าข้าวถึงระดับ 5 แสนล้านบาท จากปัจจุบันประเทศไทยขายข้าวสารได้ปีละ 1 แสนล้านบาท
ที่ผ่านมา มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ร่วมกับ สนช. จัดประกวดรางวัล นวัตกรรมข้าวไทย ต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว เพื่อปลุกพลังให้แก่บริษัทเอกชนหันมาสนใจสร้างนวัตกรรมข้าวไทยใหม่ และ สนช.เป็นหน่วยงานหลักที่ช่วยผลักดันให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ข้าวไทย
จากข้าวหักสู่เจลห้ามเลือด
หนึ่งในนวัตกรรมไทยและเป็นผู้ชนะการประกวดในปีที่ผ่านมา คือ “ข้าววรางกูร” แผ่นเจลข้าวกรดห้ามเลือดของบริษัท บุณยนิตย์วัสดุแพทย์ โดย “สิทธิพร บุณยนิตย์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท บุณยนิตย์วัสดุการแพทย์ เปิดเผยว่า นวัตกรรมประเทศด้านผลิตภัณฑ์แผ่นห้ามเลือดจากข้าวเจ้า โดยนำปลายข้าวหรือข้าวหักมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ข้าวได้สูงถึง 2,000 เท่า และสามารถนำมาทดแทนแผ่นเจลกรดห้ามเลือดที่มีราคาถูกกว่าสินค้าที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยแผ่นเจลห้ามเลือดวรางกูร มีราคาที่ 100 บาทต่อชิ้น จากต้นทุน 25 บาทต่อชิ้น ส่วนราคาที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมีราคาสูงถึง 350 บาทต่อชิ้น
“วรางกูร” เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถห้ามเลือดหลังผ่าตัดภายในเวลา 1-2 วินาที และสามารถย่อยสลายโดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย ซึ่งผลิตมาจากผงแป้งข้าวบริสุทธิ์ มาดัดแปลงให้เป็นเจล ถือเป็นสินค้านวัตกรรมของโลก มุ่งเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาลรัฐและเอกชนทั่วประเทศ วางราคาขายอยู่ที่ 100 บาทต่อชิ้น จากต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 25 บาทต่อชิ้น มีราคาถูกเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ที่มีราคาสูงถึง 350 บาทต่อชิ้น และผลิตมาจากสินค้าคนละชนิด
นอกจากนี้ มีแผนขยายตลาดในอาเซียน เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 เพราะเป็นสินค้าใหม่และไม่มีคู่แข่งในตลาด รวมทั้งมีแผนนำสินค้าการเกษตรของไทย ทั้งยางพารา มันสำปะหลัง และพริก ไปสร้างมูลค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด มั่นใจจะช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์การเกษตรของไทยมีมูลค่าและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ตลาดรวมผลิตภัณฑ์ประเภทวัสดุห้ามเลือดในประเทศ มีมูลค่าประมาณ 70 ล้านบาท มีการเติบโตปีละ 10%
แป้งรำข้าวสำหรับเบเกอรี่
นวัตกรรมของข้าวไทยในตลาดโลกต่อมา คือ “แป้งรำข้าว” คิง จากบริษัท น้ำมันบริโภคไทย “ประวิทย์ สันติวัฒนา” กรรมการบริหาร บริษัท น้ำมันบริโภคไทย กล่าวว่า ได้เปิดตัวนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์แป้งรำข้าวครั้งแรกในประเทศไทย เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอุตสาหกรรมอาหาร ร้านเบเกอรี่ และร้านเครื่องดื่ม ที่สามารถนำผลิตภัณฑ์ไปใช้ทดแทนแป้งสาลีและแป้งข้าวเจ้าได้ มีจุดเด่นที่เป็นแป้งให้ไฟเบอร์ (ใยอาหาร) รวมทั้งมีคุณค่าทางโภชนาการด้วย แตกต่างจากแป้งสาลีที่ไม่ให้ใยอาหาร
การแปรรูปข้าวไทยในครั้งนี้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่รำข้าวสกัดน้ำมันได้ 15 เท่า โดยมีราคาขายข้าวที่ 60-150 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับความละเอียดของแป้งรำ ส่วนต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 30-60 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ตลาดรวมผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ผลิตภัณฑ์เส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ มีมูลค่ารวมประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท และมีการเติบโต 15-20% ซึ่งบริษัทมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก เพราะยังไม่มีขนมและกลุ่มเบเกอรี่ในประเทศที่รับประทานแล้วได้รับใยอาหาร
ลิปสติกอินทรีย์จากเมล็ดข้าว
ด้านผลิตภัณฑ์ความงาม สามารถพัฒนาเป็นลิปสติกอินทรีย์ ภายใต้แบรนด์ “วาวด้า” ของบริษัท โป๋วเอวี๋ยน “วิลาสินี โฆษิตชัยวัฒน์” รองประธานบริหาร บริษัท โป๋วเอวี๋ยน และผู้คิดค้นสูตรทั้งหมด ได้เปิดตัวลิปสติกอินทรีย์จากข้าวไทยเป็นรายแรกในโลก สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับนำมันรำข้าวและไขรำข้าวมากกว่า 80 เท่า สำหรับจุดเด่นชองลิปสติกอินทรีย์ อยู่ที่มีคุณสมบัติช่วยลดรอยเหี่ยวย่นและความหมองคล้ำบริเวณริมฝีปาก และลดอันตรายที่เกิดจากการสัมผัสกับแสงแดด
ส่วนการพัฒนาเฉดสี ก็ใช้สารสกัดจากข้าวเช่นเดียวกัน ทำให้ได้สีสดจากธรรมชาติ และไม่มีส่วนผสมมาจากสารเคมี เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีปัญหาสารเคมีและแพ้เครื่องสำอาง โดยได้วางจำหน่ายที่ 550 บาทต่อแท่ง จากต้นทุนการผลิต 350 บาทต่อแท่ง โดยในปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทลิปเจล ลิปกลอส และลิปสติกของประเทศไทย มีมูลค่า 2,800 ล้านบาท มีการเติบโต 7-10% นอกจากนี้ บริษัทนี้ยังถือเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ผลิตเครื่องสำอางออร์แกนิกอย่างแท้จริงรายแรกในไทย
เปลี่ยนโฉม ‘ข้าวลืมผัว’
กลุ่มอาหาร ก็สามารถแปรรูปข้าวเป็นอาหารว่างที่มีคุณค่าทางสารอาหารได้เช่นกัน กับ ไอไรซ์ “IRice” ข้าวกล้องลืมผัวอบกรอบพร้อมทาน จาก “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มชาข้าวก่ำ” (ข้าวลืมผัว) จ.พะเยา โดย “อุไรวรรณ ภู่วัตร” เจ้าของโครงการนี้ และเป็นผู้พัฒนาสินค้า “ข้าวกล้องลืมผัวอบกรอบพร้อมทาน ไอไรซ์” กล่าวว่า ข้าวกล้องลืมผัวมีแหล่งปลูกจำนวนมากอยู่ใน จ.พะเยา ความพิเศษของข้าวสายพันธุ์ลืมผัว เป็นข้าวเหนียวที่ได้รับการยกย่องว่า มีโภชนาการสูง มีรสชาติอร่อย และหอมมาก รวมทั้งมีประโยชน์และสารอาหารต่อร่างกายมากมาย
ดังนั้น กลุ่มวิสาหกิจชุมชนจึงนำข้าวมาสร้างมูลค่าเพิ่ม และทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มชาข้าวก่ำ ได้ปลูกข้าว สีข้าว และพัฒนาข้าวขายเองทั้งหมด ซึ่งใช้การปลูกและดูแลตามวิธีธรรมชาติ การแปรรูปครั้งนี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ข้าวได้ถึง 7 เท่า เหมาะสำหรับเป็นอาหารว่างเพื่อสุขภาพและสะดวกในการรับประทาน มีราคาจำหน่ายปลีกที่ 35 บาทต่อซอง จากต้นทุนการผลิตที่ 15 บาทต่อซอง มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และลูกค้าทั่วไปที่ต้องการอาหารว่างเพื่อสุขภาพ มีหลายรสชาติ ทั้งสาหร่าย บาร์บีคิว ต้มยำ และชีส เป็นต้น
น้ำมันรำข้าวมหัศจรรย์
ด้านกลุ่มของใช้ ข้าวสามารถพัฒนาเป็นครีมเคลือบเงาอเนกประสงค์สำหรับอุปกรณ์ภายในรถยนต์จากน้ำมันรำข้าวอินทรีย์ จาก “บริษัท อู่ข้าว อู่น้ำ” ทำสินค้าภายใต้แบรนด์ “ทิพ” ถือเป็นนวัตกรรมระดับโลก ด้านผลิตภัณฑ์ครีมเคลือบเงาอเนกประสงค์สำหรับอุปกรณ์ภายในรถยนต์ ที่ผลิตจากน้ำมันรำข้าวอินทรีย์และสารเติมแต่งอินทรีย์ โดยสามารถสร้างมูลค่ามากกว่า 10 เท่า ของน้ำมันรำข้าวอินทรีย์ และมากกว่า 30 เท่า ของกากน้ำมัน
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวช่วยทดแทนการใช้ไขสังเคราะห์ที่เป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีหรือไขจากธรรมชาติ ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ รวมทั้งมุ่งเน้นการใช้สารแกมมาออริซานอล ซึ่งเป็นสารสำคัญในน้ำมันรำข้าว มีคุณสมบัติป้องกันสารอัลตราไวโอเลต และช่วยป้องกันการเลื่อมของอุปกรณ์ในรถยนต์ โดยเฉพาะอุปกรณ์ประเภทเบาะหนังและชิ้นส่วนบริเวณหน้าปัดรถ มีราคาขายปลีก 100 บาทต่อขวด ขนาด 120 มล. จากต้นทุนการผลิต 40 บาทต่อขวด มุ่งเจาะกลุ่มผู้รักสุขภาพและไม่ต้องการใช้สารเคมี ขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงรักษารถยนต์มีมูลค่า 1,500 ล้านบาทต่อปี และเติบโต 6-10%
นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากน้ำมันรำข้าวของบริษัท สยามเนเชอรัล โปรดักซ์ ภายใต้แบรนด์ “โคลัมบัส” ที่เป็นเป็นนวัตกรรมระดับประเทศด้านผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวที่ใช้น้ำมันรำข้าว และเนยจากน้ำมันรำข้าว ช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื่นและมีประโยชน์ต่อผิว อีกทั้งช่วยชดเชยการใช้เชียบัตเตอร์และโกโก้บัตเตอร์ ซึ่งมีราคาสูงและต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ถือเป็นครั้งแรกในประเทศที่มีการนำน้ำมันรำข้าวและเนยขาวจากน้ำมันรำข้าว มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้บำรุงผิว
สินค้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากน้ำมันรำข้าว ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม 30 เท่า ของน้ำมันรำข้าว และ 15 เท่า ของเนยขาวจากน้ำมันรำข้าว โดยมีราคาขายปลีกที่ 450 บาทต่อขนาดบรรจุ 250 กรัม จากต้นทุนการผลิต 50 บาทต่อขนาดบรรจุ 250 กรัม โดยสินค้าดังกล่าวมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีมูลค่า 7,600 ล้านบาท และมีการเติบโต 6%