เลือกตั้ง66: กกต. เรียก “ศรีสุวรรณ” สอบเงินดิจิทัล 10,000 ของเพื่อไทย
กกต. ส่งหนังสือด่วนที่สุด เรียก "ศรีสุวรรณ" ให้ถ้อยคำประกอบคำร้อง ตรวจสอบการหาเสียงของ "เศรษฐา ทวีสิน" แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย เสนอนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้รับหนังสือ “ด่วนที่สุด” จากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อไปให้ถ้อยคำประกอบคำร้อง
กรณีที่สมาคมได้ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบการหาเสียงเลือกตั้งของ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เสนอนโยบายแจกเงินดิจิทัล เป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้กับพรรคและผู้สมัครพรรคเพื่อไทย อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือไม่
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการหาเสียงดังกล่าวอาจเป็นการฝ่าฝืน ม.73(1) และ (5) ของ พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 ประกอบ พรบ.เงินตรา 2501 พรบ.ธนาคารแห่งประเทศไทย 2485 พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 พรก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 2561 และ พรก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) 2561 ได้
อย่างไรก็ตาม แม้พรรคเพื่อไทยจะได้ชี้แจงนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่ต้องใช้เงิน ตามมาตรา 57 พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ต่อ กกต. และได้มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะเป็นการทั่วไปแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากตัวเลข 5,600,000 ล้านบาท ที่ต้องนำมาใช้ในนโยบายนี้
ยังเป็นที่สงสัยกันอย่างมากว่า วงเงินดังกล่าวต้องนำมาใช้ในครั้งเดียวก่อนเริ่มโครงการ จะอ้างนำภาษีที่ได้จากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย 1 แสนล้านบาท มารวมก่อนไม่ได้ ส่วนการตัดงบประมาณที่ซ้ำซ้อนก็ไม่แจ้งให้ชัดว่าจะตัดงบประมาณด้านใด ตัดงบบัตรคนจน ตัดงบผู้สูงอายุ ใช่หรือไม่
ที่สำคัญ หากพรรคเพื่อไทยจัดสรรเงินที่จะต้องนำมาใช้จ่ายตามกรอบวงเงินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล จะไปกระทบกับวงเงินงบประมาณจากนโยบายการใช้จ่ายเงินอื่นๆ ของพรรคเพื่อไทยที่มีรวม 70 นโยบาย 15 ด้าน ตามเอกสารชี้แจง
ซึ่งกำหนดกรอบวงเงินที่ใช้ดำเนินการตลอดระยะเวลา 4 ปี ตามวาระรัฐบาล รวมเป็นเงินกว่า 3 ล้านล้านบาท ด้วย ความเป็นไปได้อาจมีน้อยมาก และหากมีความพยายามผลักดันนโยบายดังกล่าวออกมาใช้ก็อาจจะไปกระทบต่อวินัยการเงินการคลังของชาติ ซึ่งนอกจากเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายแล้ว ยังเป็นการหาเสียงที่ถูกครหาจากอดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประทศไทยหลายๆท่านที่ผ่านมาด้วย
อีกทั้งการชี้แจงนโยบายดังกล่าว อาจไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของ ม.57 พรป.พรรคการเมือง 2560 ที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่ง กกต./นายทะเบียนพรรคการเมือง ต้องพิจารณาและวินิจฉัยว่านโยบายหาเสียงดังกล่าว มีความเป็นไปได้ หรือมีการปกปิดข้อมูลที่ควรจะแจ้งหรือไม่
หากมีการปกปิด ก็อาจจะเข้าข่ายผิด พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73(5) เป็นการจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองได้ กกต.จึงรีบเรียกให้ไปชี้แจงเป็นการด่วนในวันที่ 11 พ.ค.66เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง