posttoday

ย้อนรอยตำรวจอเมริกันใจกล้า ปล่อยคลิปเปิดโปงพวกเดียวกันเอง

25 สิงหาคม 2564

เอเดรียน ชูลคราฟท์ ตำรวจอเมริกันที่ออกมาแฉวงการตำรวจด้วยการปล่อยคลิปเสียง

เรื่องราวของเอเดรียน ชูลคราฟท์ (Adrian Schoolcraft) อดีตเจ้าหน้าที่กรมตำรวจนครนิวยอร์ก (NYPD) สหรัฐอเมริกา เคยโด่งดังเมื่อหลายปีก่อนเมื่อเขาออกมาเปิดโปงคลิปเสียงของนายตำรวจซึ่งพบว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ชูลคราฟท์ประจำการอยู่ที่สถานีตำรวจเขต 81 ในเบดฟอร์ด–สไตเวสซันต์ บรูคลิน นครนิวยอร์ก หลังทำงานอยู่ที่นั่นได้ไม่กี่ปีเขาเริ่มหยิบยกประเด็นว่าเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ที่เขตนี้มีน้อยเกินกว่าที่จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังได้แอบบันทึกการสนทนาของเจ้าหน้าที่ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการทุจริตและการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

คลิปเสียงเหล่านั้นถูกบันทึกระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2008 ถึง 15 ตุลาคม 2009 ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นโควตาการจับกุมและการสอบสวน ซึ่งนำไปสู่การจับกุมโดยมิชอบ และการรายงานอาชญากรรมที่ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อรักษาตัวเลข โดยหนึ่งในนั้นมีคลิปเสียงของสตีเวน เมาริเอลโล (Steven Mauriello) ผู้บัญชาการเขต

ชูลคราฟท์ส่งคลิปเสียงเหล่านี้ให้กรมตำรวจนครนิวยอร์กตรวจสอบในปี 2009 เพื่อเป็นหลักฐานการทุจริตและการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่หลังจากนั้นเขาก็ถูกจับตามองและรังควานซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บทลงโทษของตำรวจ (คนดี)

หลังจากที่ชูลคราฟท์ออกมาพูดและแสดงความกังวลเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเขาก็ถูกตามรังควานและกลั่นแกล้ง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มงานหรือได้รับการประเมินที่ไม่ดี มีอยู่วันหนึ่งเขาพบกระดาษโน้ตในล็อกเกอร์ของเขาซึ่งมีข้อความว่า "ถ้าไม่ชอบงานที่ทำอยู่ ก็ควรหางานใหม่ซะ"

วันที่ 31 ตุลาคมชูลคราฟท์รู้สึกสังหรใจเมื่อได้รับอนุญาตให้เลิกงานก่อนเวลา 1 ชั่วโมง ก่อนที่เย็นวันนั้นพ่อของเขาซึ่งเป็นตำรวจเช่นเดียวกันโทรมาเตือนให้ระวังตัว เขามองออกไปนอกหน้าต่างห้องพบเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งกำลังรวมตัวกันอยู่บริเวณอพาร์ตเมนต์ของเขา

เจ้าหน้าที่เหล่านั้นขอกุญแจห้องของชูลคราฟท์จากเจ้าของอพาร์ตเมนต์ โดยอ้างว่าชูลคราฟท์ฆ่าตัวตาย ก่อนที่พวกเขาจะบุกเข้ามาที่ห้องของชูลคราฟท์และเริ่มสอบปากคำ

ในบรรดาเจ้าหน้าที่ตรงนั้นมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงประมาณ 12 คนรวมอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นคือรองหัวหน้าไมเคิล มาริโน (Michael Marino) ซึ่งบอกกับเขาว่า

"ฟังนะ พวกเขาจะทำเหมือนว่านายเป็น EDP (ผู้มีความผิดปกติทางพฤติกรรมและอารมณ์) ตอนนี้นายมีทางเลือกว่าจะลุกขึ้นมาและเดินเข้าไปในรถบัสคันนั้นแต่โดยดี หรือจะถูกปฏิบัติแบบคนที่เป็น EDP นั่นหมายถึงการใส่กุญแจมือ" "เอาตัวมันไป ฉันทนไม่ไหวแล้ว" ส่วนหนึ่งของคลิปเสียงที่ชูลคราฟท์แอบบันทึกไว้ได้

กลายเป็นผู้ป่วยจิตเวช

ชูลคราฟท์ถูกนำตัวไปยังแผนกผู้ป่วยจิตเวชโรงพยาบาลจาไมก้า (Jamaica Hospital) เขาถูกใส่กุญแจมือล็อกไว้กับเตียงและห้ามไม่ให้ใช้โทรศัพท์มือถือตามคำสั่งของตำรวจที่อยู่ที่นั่น

ตำรวจอ้างกับโรงพยาบาลว่าพวกเขาตามชูลคราฟท์ไปที่บ้านเพราะชูลคราฟท์เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง และเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องพังประตูเข้าไปหาเขา

ส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยจากแพทย์ระบุว่า "ความทรงจำและสมาธิปกติดี แต่ความเข้าใจและวิจารณญาณบกพร่อง แสดงความคิดที่หวาดระแวง"

ชูลคราฟท์ถูกบังคับให้อยู่ที่นั่น 6 วัน ในที่สุดพ่อของเขาก็สามารถนำตัวกลับมาได้และได้รับค่ารักษาพยาบาล 7,185 เหรียญสหรัฐ ก่อนที่ชูลคราฟท์จะถูกพักงานและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาหาที่บ้านเป็นประจำ

ไม่หยุดความพยายาม

ในปี 2010 ชูลคราฟท์ส่งคลิปเสียงให้กับหนังสือพิมพ์ The Village Voice ซึ่งนำไปสู่การรายงานเป็นชุดบทความเรื่อง "The NYPD Tapes" โดยผู้สื่อข่าวแกรแฮม เรย์แมน (Graham Rayman)

บทความเหล่านั้นได้เปิดโปงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเช่นระบุว่ามีการจับกุมในข้อหาเล็กๆ น้อยๆ อย่างการจับประชาชนที่ไม่พกพาบัตรประจำตัวประชาชนขณะที่อยู่แถวบ้านของเขา หรือการจับกุมประชาชนที่รวมกลุ่มกัน และการ Stop-And-Frisk หรือการตรวจค้นอาวุธเพิ่มขึ้น 9 เท่า

ยิ่งไปกว่านั้นมีรายงานการตรวจค้นอาวุธปลอมๆ ที่ไม่ระบุชื่อเพื่อทำยอดในช่วงสิ้นเดือนหรือที่รายงานเรียกว่าเป็นการ "จับผี" (Ghost 250s)

นอกจากนี้ยังมีคลิปเสียงของเจ้าหน้าที่นายหนึ่งซึ่งกล่าวว่า "ฟังนะ อย่านำนายแพทย์มาที่สถานีตำรวจ เพราะเขาจะได้รับค่ารักษาพยาบาลฟรีจากเรา แถมยังมีตำรวจดีๆ คอยคุ้มกันตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่"

เรย์แมนกล่าวว่าสาเหตุหนึ่งที่ตำรวจต้องทำแบบนี้เพราะระบบโครงสร้างของที่นี่ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ โดยในวันธรรมดาเขต 81 มีเจ้าหน้าที่เพียง 3 ถึง 9 นายที่ต้องลาดตระเวนตามท้องถนนในพื้นที่ที่มีประชาชนมากกว่า 60,000 คน ในขณะที่พวกเขาเองก็ต้องทำผลงานออกมาให้ดี

ในปีเดียวกันชูลคราฟท์ได้ยื่นฟ้องกรมตำรวจนครนิวยอร์กโดยระบุว่าเขาถูกข่มขู่คุกคาม และเรียกร้องค่าเสียหาย 50,000,000 เหรียญสหรัฐ รวมถึงฟ้องโรงพยาบาลจาไมก้าด้วย เพราะการรักษาตัวในหอผู้ป่วยจิตเวชโดยไม่สมัครใจทำลายชื่อเสียงของเขา

คดีความถูกตัดสินในปี 2012 โดยเขาได้รับเงิน 600,000 เหรียญสหรัฐจากกรมตำรวจนครนิวยอร์ก ส่วนของโรงพยาบาลจาไมก้าสิ้นสุดลงในปี 2015 แต่ไม่มีการเปิดเผยว่าคดีจบลงแบบใด

ในปี 2013 คดี "Stop-And-Frisk" ที่เกี่ยวข้องได้เข้าสู่การพิจารณาคดีในศาลรัฐบาลกลาง

ภายหลังเรื่องราวของชูลคราฟท์ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และนำไปบอกเล่าในพอดแคสต์ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

ภาพโดย Scott Olson/AFP