เปิดห้องแล็บเชลล์ต้นกำเนิดน้ำมันเครื่องคุณภาพ
เยี่ยมห้องแล็บเชลล์ที่เมืองฮัมบูร์ก เยอรมัน ค้นหาที่มาน้ำมันเครื่องคุณภาพสูง!!
เยี่ยมห้องแล็บเชลล์ที่เมืองฮัมบูร์ก เยอรมัน ค้นหาที่มาน้ำมันเครื่องคุณภาพสูง!!
โดย...พิสันต์ อิทธิวัฒนกุล
ตลาดน้ำมันเครื่องสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ที่มีการประเมินและคาดการณ์ความต้องการใช้งานที่ปีละ 450-500 ล้านลิตร ถือเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงที่สุดธุรกิจหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่รายทำตลาดอยู่ก็ตาม
หนึ่งในผู้ประกอบการระดับสากลที่เข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยอย่างเหนียวแน่นก็คือ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย เจ้าของปั๊มน้ำมันตราหอยเหลือง ที่ยืนหยัดต่อสู้ในธุรกิจน้ำมันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะในกลุ่มน้ำมันหล่อลื่นที่ถือว่าครองใจมหาชนด้วยคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่โดดเด่น เหนือกว่าการลุยจัดแคมเปญทางการตลาดอย่างดุเดือด
แต่พูดแต่ปากหลายคนอาจจะไม่เชื่อในเรื่องของคุณภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการพิสูจน์จริง เชลล์จึงตัดสินใจหอบนักข่าวไทย 2 ชีวิตบุกเมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นที่ตั้งของพีเออี แล็บ หรือที่รู้จักกันในชื่อของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของเชลล์ ซึ่งถือเป็น 1 ใน 5 แล็บของเชลล์ทั่วโลก นอกเหนือไปจากที่กัวลาลัมเปอร์ โตเกียว เชสเตอร์ และฮุสตัน
และนี่ก็ถือเป็นการเปิดห้องแล็บแห่งนี้ให้กับชาวเอเชียหัวดำได้เข้าไปเดินชมอย่างทั่วถึงเป็นครั้งแรก ถ้าไม่นับทีมงานของเชลล์เอง โดยได้ไมเคิล คนาค ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาน้ำมันในเชลล์มาอย่างยาวนานกว่า 21 ปี ทำหน้าที่นำทีมในการเดินดูศูนย์วิจัยแห่งนี้แบบละเอียดยิบ
เชลล์ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นในตลาดน้ำมันของโลกในปัจจุบัน โดยมีจำนวนพนักงานกว่า 1.01 แสนคน ใน 90 ประเทศทั่วโลก มีการกลั่นน้ำมันกว่า 2,000 บาร์เรลในทุกๆ นาที และมีการจำหน่ายน้ำมันให้กับผู้บริโภคมากกว่า 10 ล้านคนในทุกๆ วัน
ภายใต้แนวคิด Energy for A Changing World เชลล์ได้ทำการวิจัยและคิดค้นพลังงานในทุกรูปแบบสำหรับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องของน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และพลังงานรูปแบบอื่นๆ เช่น ทรายน้ำมัน เป็นต้น โดยมีการคิดค้นและวิจัยในเรื่องพลังงานมายาวนานกว่า 50 ปี
หนึ่งในแนวทางในการพัฒนาที่ถือเป็นหัวใจหลักของศูนย์วิจัยแห่งนี้ ก็คือการคิดค้นภายใต้แนวคิด Track to Road Concept หรือการพัฒนาเทคโนโลยีจากสนามแข่งมาใช้งานในชีวิตประจำวัน ภายใต้แนวทางในการเพิ่มสมรรถนะและลดการสิ้นเปลืองให้ได้มากที่สุด
โดยเชลล์เป็นพันธมิตรกับทีมแข่งเฟอร์รารีในเอฟวันและดูกัตติในโมโตจีพี ทั้งในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น รวมถึงเป็นพันธมิตรกับเพนสเก ในรายการอินดี้คาร์และนาซคาร์ในส่วนของน้ำมันหล่อลื่น
ในแต่ละปีเชลล์ให้การสนับสนุนด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันเครื่องกับศึกความเร็วเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าในปี 2554 จะมีการสนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิงกว่า 5.5 หมื่นลิตร และน้ำมันหล่อลื่นกว่า 8,000 ลิตร เพื่อให้ทีมแข่งใช้ในการทดสอบและทำการแข่งขันจริง
คนาค อธิบายว่า โดยหลักการแล้วการพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถแข่งและการใช้งานในชีวิตประจำวันจะไม่แตกต่างกันมากในหลักการ แต่จะมีการเพิ่มเติมและเสริมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการใช้งานที่แตกต่างกันลงไป ทำให้ได้สูตรน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้งาน ซึ่งแน่นอนว่าทีมงานในการพัฒนาน้ำมันทั้งสองสูตรก็คือ ทีมงานเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่าน้ำมันที่ใช้ในการแข่งขันและการใช้งานในชีวิตประจำวันก็ต้องมีความแตกต่างกันบ้าง เนื่องจากผู้ที่นำไปใช้งานก็ใช้งานกันอย่างแตกต่างอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องของระยะเวลาที่ใช้งาน อุณหภูมิในการใช้งานและปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย
มีสถิติการพัฒนาที่น่าสนใจว่า จากปี 2542-2553 เชลล์ร่วมมือกับดูกัตติ ค้นคว้าและพัฒนาน้ำมันเครื่องสำหรับรถแข่ง ที่ช่วยเพิ่มพลังให้กับเครื่องยนต์ได้ 2.2% ผลงานหลักจากการลดแรงเสียดทานให้กับเครื่องยนต์
ขณะที่กลุ่มน้ำมันใสที่ติดข้อกำหนดถังน้ำมัน 21 ลิตรของโมโตจีพี ก็ช่วยกันพัฒนาจนลดการสิ้นเปลืองไปได้ 11% ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยที่พละกำลังของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นอีก 2.2% โดยที่ก่อนหน้านี้เคยลดการสิ้นเปลืองได้ถึง 12% แต่เสียพละกำลังมากเกินไป จึงปรับมาใหม่เป็นสูตรในปัจจุบัน
“ในปีที่ผ่านมา เชลล์ลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาคิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการลงทุนมูลค่ามากที่สุดในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมันและเป็นการลงทุนที่มากที่สุดในโลก”
คนาค ได้พาผมและทีมงานจากประเทศไทย เดินชมภายในบริเวณของศูนย์วิจัย ซึ่งต้องถือว่าตื่นตาตื่นใจมากครับ แม้ว่าจะเคยผ่านห้องแล็บมาแล้วหลายบริษัทจากหลายธุรกิจก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าห้องแล็บนี้ถือว่าใหญ่โตและมีความทันสมัยไม่แพ้ใครในโลก
ในห้องแล็บที่ฮัมบูร์กสามารถให้บริการในการทดสอบเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลังและอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ ตั้งแต่เครื่องยนต์รุ่นเล็กของรถทั่วๆ ไป เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ของรถบรรทุก เรื่อยไปจนถึงเครื่องยนต์ขนาดยักษ์ของเรือเดินทะเล โดยในหลายห้องทดสอบสามารถควบคุมปัจจัยในการทดสอบได้แบบครบวงจร ซึ่งรวมไปถึงสภาพอากาศและความชื้นด้วยเช่นกัน ทำให้ผู้ที่ต้องการทดสอบสามารถกำหนดข้อจำกัดและควบคุมทั้งหมดได้
นอกจากนี้ ห้องแล็บแห่งนี้ยังเป็นฐานสำคัญของการทำการตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันเครื่องที่มาจากสนามแข่ง โดยจะมีการจัดส่งรถโมบายออกไปเก็บตัวอย่างน้ำมันที่ใช้ในการแข่งขันมาทำการตรวจสอบได้ทันที โดยภายในรถโมบายมีการติดตั้งอุปกรณ์แล็บที่สำคัญที่พร้อมจะช่วยเหลือและตรวจสอบได้ทันทีในกรณีที่ทีมแข่งต้องการ
ทีมงานของเชลล์อาจจะคิดว่าพวกเรายังไม่พอใจกับการเดินทางมาร่วมในแล็บทดสอบแห่งนี้ จึงได้พาไปเกาะขอบสนามดูของจริงกันถึงสนามแข่งโมโตจีพี ที่แซกชันริง หนึ่งในสนามแข่งรถจักรยานยนต์ทางเรียบที่สวยงามและมีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นสนามที่เดอะ ดอกเตอร์ วาเลนติโน รอสซี นักแข่งของทีมดูกัตติ บอกว่าชื่นชอบที่สุดสนามหนึ่งเลยทีเดียว
เราได้มีโอกาสบุกเข้าไปเกาะถึงห้องเตรียมการสำหรับการแข่งขันรถ ได้มีโอกาสเห็น นิกกี เฮย์เดน เฝ้าดูการตรวจสอบสภาพรถก่อนทำการแข่งขันอย่างใกล้ชิด และแน่นอนว่าได้เข้าไปสำรวจห้องเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำการแข่งขันกันอย่างเต็มที่ เล่นเอาฝรั่งผมทองแถวนั้นมองด้วยอาการเขม่นเล็กๆ เกือบตลอด เพราะที่นี่เคร่งครัดเรื่องความปลอดภัยอย่างมาก ใครที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาหมดสิทธิ
เชลล์มีคำพูดอยู่คำหนึ่ง ซึ่งผมเองจำได้ว่าได้ยินมานานมากแล้ว และก็มาเห็นอีกครั้งในการเดินทางครั้งนี้ นั่นก็คือ “Get the most out of every drop” หรือการทำให้ได้มากที่สุดจากทุกๆ หยด ซึ่งก็คงหมายความพยายามในการสร้างสรรค์สมรรถนะ ความประหยัด การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงคุณสมบัติด้านอื่นๆ ให้ได้มากที่สุด จากน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันเครื่องทุกๆ หยด
ไปเดินเล่นที่ห้องแล็บต่อด้วยเกาะขอบสนามแบบนี้ ทำให้รู้และเห็นมากขึ้น ว่า “ของจริง” ในตลาดโลกเขาทำงานกันอย่างไร และเชลล์เองก็มีแผนที่จะพัฒนาสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีกในอนาคต เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ทุกคน ไม่ว่าคุณจะขับรถในสนามแข่ง หรือบนถนนปกติก็ตามที!!!