posttoday

SCCปักธงอินโดฯ

21 กันยายน 2554

SCC รุกซื้อกิจการ 2 เดือน ซื้อ 2 หมื่นล้าน ล่าสุดทุ่ม 1.35 หมื่นล้าน ซื้อหุ้น CAP ผู้ผลิตปิโตรเคมีครบวงจรจากเทมาเซกดันสู่ผู้นำภูมิภาคเอเชีย

SCC รุกซื้อกิจการ 2 เดือน ซื้อ 2 หมื่นล้าน ล่าสุดทุ่ม 1.35 หมื่นล้าน ซื้อหุ้น CAP ผู้ผลิตปิโตรเคมีครบวงจรจากเทมาเซกดันสู่ผู้นำภูมิภาคเอเชีย

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า บริษัท เอสซีจีเคมิคอลส์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ SCCถือหุ้นทั้งหมด ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อหุ้นบริษัท พีที จันทรา แอสซรี หรือ CAP (PT Chandra Asri Petrochemical Tbk) ผู้นำธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจรในอินโดนีเซียในสัดส่วน 30% หรือซื้อหุ้นจำนวน 919.85 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4,088 รูเปียห์ คิดเป็นเงินลงทุนรวมประมาณ 1.35 หมื่นล้านบาท

SCCปักธงอินโดฯ

บริษัทซื้อหุ้นจำนวน 701.33 ล้านหุ้น จากแอพเพิลตัน บริษัทในเครือเทมาเซก และอีก 218.33 ล้านหุ้น ซื้อจากบาริโตะ และการเข้าซื้อครั้งนี้เป็นไปตามแผนการเดินหน้าเข้าสู่การเป็นผู้นำทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย

ทั้งนี้ CAP เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศอินโดนีเซีย ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ TPIA เป็นผู้นำธุรกิจปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ครบวงจรในอินโดนีเซีย โดยผลิตผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มีกำลังผลิตเอทิลีนปีละ 6 แสนตัน โพรไพลีนปีละ 3.2 แสนตัน โพลิเอทิลีนปีละ 3.2 แสนตัน โพรลิโพรไพลีนปีละ 4.8 แสนตัน และสไตรีนโมโนเมอร์ปีละ 3.4 แสนตัน

“การซื้อหุ้น CAP ครั้งนี้ นับเป็นการซื้อกิจการครั้งใหญ่ของบริษัท และเป็นโอกาสที่ดีในการร่วมลงทุนกับเครือข่ายธุรกิจปิโตรเคมีขนาดใหญ่ในอินโดนีเซีย และนับเป็นอีกก้าวหนึ่งของความสำเร็จในการผลักดันธุรกิจเคมีภัณฑ์ให้เติบโตสู่การเป็นผู้นำในอาเซียน” นายกานต์ กล่าว

สำหรับการเลือกเข้าลงทุนที่อินโดนีเซีย เพราะเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง และเป็นหนึ่งในประเทศหลักในอาเซียนที่ปูนซิเมนต์ไทยเข้าไปลงทุน เนื่องจากมีจำนวนประชากรสูงที่สุดในภูมิภาค มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง รวมทั้งมีความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองอยู่มาก

ทั้งนี้ เมื่อเดือน ก.ค. 2554 SCC ได้ให้บริษัทลูกเข้าซื้อธุรกิจเซรามิกที่อินโดนีเซีย มูลค่าลงทุน 6,500ล้านบาท เบ็ดเสร็จตอนนี้ปูนใหญ่ซื้อกิจการที่อินโดนีเซีย 2 หมื่นล้านบาท ด้าน บล.บัวหลวง ระบุว่า SCCเข้าซื้อหุ้น CAP ครั้งนี้น่าจะให้ผลตอบแทนการลงทุนไม่น้อยกว่า 15% และถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มเพราะก่อนหน้าขายหุ้นบริษัท ปตท.เคมิคอล (PTTCH) ออกไปที่มูลค่ากิจการต่อตันที่ 1,311 เหรียญสหรัฐ แต่ครั้งนี้ซื้อที่มูลค่ากิจการที่ 776 เหรียญสหรัฐเท่านั้น

นอกจากนี้ การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ SCC สำหรับการขยายธุรกิจปิโตรเคมีในภูมิภาค และเนื่องจากเศรษฐกิจอินโดนีเซียเติบโตอย่างรวดเร็ว และ CAP จะเป็นตัวสร้างการเติบโตของกำไรให้กับกลุ่มได้อย่างดี

สำหรับการลงทุนครั้งนี้ยังลดความกังวลของนักลงทุนว่าบริษัทจะสามารถใช้เงินสดส่วนเกินในมือจำนวน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อการลงทุนให้หมดภายใน 2 ปีได้ตามแผนหรือไม่