ห่วงไทยฟื้นช้าเกินคาด

ธปท.-นักธุรกิจห่วงไทยฟื้นตัวช้า ปัญหายุโรปฉุดภาคผลิตเลื่อนกลับมาปกติไตรมาส 4 นโยบายดอกเบี้ยขาลงใช้ไม่ได้ผล

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เชิญนักบริหารเงินของธนาคารพาณิชย์และนักธุรกิจมาให้มุมมองภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้า รวมถึงปัจจัยเสี่ยงในการลงทุน เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา

นักลงทุนส่วนใหญ่แสดงความเป็นห่วงปัญหาความผันผวนจากต่างประเทศ และกังวลเรื่องการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยขาลงที่ไม่มีผลต่อดอกเบี้ยในตลาด แต่อาจจะสร้างผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น และเกรงว่าอาจจะมีผล|ต่อการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป ซึ่ง ธปท.ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ เพราะ ธปท.สามารถคุมทิศทางดอกเบี้ยในตลาดให้ไปในทางเดียวกับดอกเบี้ยนโยบายได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง

นายทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตได้ 4.9% ภายใต้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 2.2% และเงินเฟ้อทั่วไปที่ 3.2% ส่วนปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจจะโตที่ 5.6%

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยังมีปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ เช่น เศรษฐกิจยุโรปที่อาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว|ได้ต่ำกว่าศักยภาพ ทำให้ ธปท.ค่อนข้างห่วงความเสี่ยงอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคการผลิต

“เดิมเราเคยคาดว่าภาคการผลิตน่าจะฟื้นจากน้ำท่วมกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ แต่ในกรณีเลวร้ายเราก็ห่วงว่ามีโอกาสเลื่อนการฟื้นตัวไปในไตรมาส 4 แทน” นายทรงธรรม กล่าว

ด้านนายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปัญหาหนี้ในยุโรปอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเลือกถือเงินสดเพื่อความปลอดภัย และมีการโยกเงินมากขึ้น เลือกถือเงินเหรียญสหรัฐ กระทบต่อสภาพคล่อง และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง

แต่หากยุโรปหรือสหรัฐเลือกอัดฉีดสภาพคล่องด้วยการผ่อนคลายเชิงปริมาณเงิน (QE) เงินทุนก็จะไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียและไทยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สกุลเงินในภูมิภาคและเงินบาทแข็งค่าขึ้น

“เดือน ม.ค. ค่าเงินบาทมีความผันผวนสูงกว่า 6% จากเดิมที่ผันผวนเดือนละ 2-3% เท่านั้น ฉะนั้นนักลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนควรซื้อป้องกันความเสี่ยงและเตรียมสภาพคล่องไว้ให้พร้อมจะดีกว่า ไม่ควรจะรีรอป้องกันความเสี่ยง” นายกอบสิทธิ์ กล่าว