posttoday

กลุ่มธนาคารกำไรไตรมาส3เพิ่ม20-25%

10 ตุลาคม 2555

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน และ บล.กรุงศรี คาดว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์จะยังคงมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 3

โดย...เจียรนัย อุตะมะ

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน และ บล.กรุงศรี คาดว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์จะยังคงมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 3 ปี 2555 โดยคาดว่าจะเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 20-25%

นักวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน คาดว่ากลุ่มธนาคาร 9 ธนาคารที่ทำการศึกษาจะมีกำไรสุทธิรวมกัน 4.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาส 2 และ 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสินเชื่อเติบโตขึ้น ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยยังคงเติบโตขึ้น และช่วยให้รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ในไตรมาสนี้มีหลายธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และบริษัท ทุนธนชาต (TCAP) จะมีรายได้พิเศษจากเงินปันผลของกองทุนวายุภักษ์ รวมกันถึง 1,400 ล้านบาท แต่ยังคาดว่าหลายธนาคารจะมีการตั้งสำรองสูงกว่าสำรองปกติต่อไปในไตรมาสนี้ เพื่อเพิ่มระดับสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ขึ้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของรายได้

การแข่งขันทางด้านเงินฝากยังคงรุนแรง โดยส่วนหนึ่งเป็นไปเพราะรองรับสินเชื่อ และอีกส่วนหนึ่งเพื่อทดแทนตั๋วแลกเงิน คาดว่าเงินฝากของทั้งกลุ่มจะเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาส 2 หรือเพิ่มขึ้นถึง 56% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน และส่งผลให้กลุ่มธนาคารมีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น โดยอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากจะลดลงเหลือ 100% จาก 103% ในไตรมาสก่อน แต่การที่กลุ่มธนาคารมีการระดมเงินฝากเข้ามามาก ทำให้คาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะลดต่ำลงเหลือ 3% จาก 3.1% ในไตรมาสก่อน

ทั้งนี้ คาดว่า NPL ลดต่ำลง แต่ยังน่าจะเห็นการตั้งสำรองสูงในหลายธนาคาร

กลุ่มธนาคารกำไรไตรมาส3เพิ่ม20-25%

 

ภายหลังจากการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) จากเงินกู้ระยะสั้นเป็นระยะยาว และการประกาศเพิ่มทุน ทำให้สถานการณ์ NPL ของ SCB KTB และบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ที่มีมูลหนี้รวมกัน 4.2 หมื่นล้านบาท ยังไม่น่ากังวล และทำให้สถานการณ์ของทั้งกลุ่มธนาคารไม่น่ากังวลไปด้วย นอกจากนี้การที่สินเชื่อของกลุ่มธนาคารที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมของกลุ่มธนาคารในไตรมาสนี้ยังน่าจะลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่มีอยู่ที่ 3% ได้

ทั้งนี้ ยังให้น้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” เลือกธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ TISCO เป็นหุ้น “แนะนำ”

เนื่องจากมีมุมมองว่าสินเชื่อของกลุ่มธนาคารจะยังคงเติบโตต่อเนื่องได้ในช่วงที่เหลือของปี ทั้งจากสินเชื่อรายใหญ่ที่ยังคงมีความต้องการขยายการลงทุน รวมไปถึงสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อที่จะได้ประโยชน์จากยอดขายรถยนต์ที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง และเลือก KBANK เป็นหุ้น “แนะนำ” ของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ เนื่องจาก KBANK มีความโดดเด่นทางด้านสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ซึ่งเป็นปกติที่จะมีการเติบโตสูงในช่วงปลายปี และ KBANK ยังน่าจะได้ประโยชน์จากความต้องการสินเชื่อของกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ด้วย ให้มูลค่าเหมาะสม KBANK ไว้ที่ 211 บาท และเลือก TISCO เป็นหุ้น “แนะนำ” ในกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก จากการได้รับประโยชน์จากโครงการรถคันแรกของรัฐบาล ทำให้ TISCO มีสินเชื่อเติบโตโดดเด่นมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นปี และน่าจะเติบโตต่อเนื่องได้ในช่วงที่เหลือของปี ให้มูลค่าเหมาะสม TISCO ไว้ที่ 54 บาท

ด้านนักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี คงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคาร “มากกว่าตลาด” จากมุมมองบวกต่อการเติบโตของกำไร และงบดุลแข็งแกร่งของกลุ่มสนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ มุมมองต่อผลการดำเนินงานไตรมาส 3 คาดว่ากลุ่มมีกำไรเติบโต 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 2% จากไตรมาส 2 ที่ 3.97 หมื่นล้านบาท และกำไรรวมงวด 9 เดือนปี 2555 ที่ 1.18 แสนล้านบาท เติบโต 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้นธนาคารที่มีพื้นฐานดีแต่รอจังหวะอ่อนตัว เนื่องจากราคาหุ้นอาจผันผวนมากขึ้นหลังประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 โดย KBANK TISCO TCAP เป็นลำดับแรก และ KK SCB BBL เป็นอันดับรองลงมา

“เราประมาณการกำไรสุทธิของ 9 ธนาคาร (BBL KBANK KK KTB LHBANK SCB TCAP TISCO TMB) รวม 3.97 หมื่นล้านบาท”

กำไรดังกล่าวมาจาก ประการแรก รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของสินเชื่อ

ประการที่สอง รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น และประการที่สาม ค่าใช้จ่ายภาษีลดลง เทียบกับในไตรมาส 2 แม้กลุ่มจะมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น รวมทั้งรายได้เงินปันผลจากกองทุนวายุภักษ์เพิ่มขึ้น แต่เพราะกลุ่มมีค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ และค่าใช้จ่ายภาษีเพิ่มขึ้นกดดันกำไรของกลุ่มปรับลดลง 2% จากไตรมาส 2 โดย NIM ของกลุ่มจะทรงตัวที่ 2.9% แต่ลดลงเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะผลจากต้นทุนเงินฝากเพิ่มขึ้น และการจ่ายค่าธรรมเนียมให้รัฐเพิ่มขึ้น ขณะที่หนี้เสียยังควบคุมได้ดี สัดส่วน NPL ของกลุ่มลดลงที่ 3.3%

ผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนปี 2555 แม้กำไรจากเงินลงทุนจะปรับลดลงราว 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะจาก SCB แต่เพราะกลุ่มมีรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมขึ้น กอปรกับค่าใช้จ่ายภาษีลดลง ทำให้กำไรรวมใน 9 เดือน เติบโต 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 1.18 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 77% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2555 ที่ 1.52 แสนล้านบาท

สินเชื่อไตรมาส 3 เติบโต 3.2% จากไตรมาส 2 และเติบโต 9.7% ใน 9 เดือนปี 2555 ทั้งนี้คาดว่าสินเชื่อของกลุ่มในไตรมาส 3 ขยายตัวต่อเนื่อง 3.2% จากไตรมาส 2 (+14.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 12 ติดต่อกัน จากสินเชื่อเพื่อใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศเป็นหลัก โดยคาดว่าธนาคารทุกแห่งมีสินเชื่อเติบโต ที่โดดเด่นยังเป็น LHBANK ที่สินเชื่อเติบโตโดดเด่นจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อ SME นอกจากนี้ KK TCAP TISCO ที่มีพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อสูงมีอัตราการเติบโตสินเชื่อสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม เพราะอานิสงส์จากยอดขายรถยนต์ที่แข็งแกร่ง ขณะที่ SCB สินเชื่อเติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ โดยคาดว่าสินเชื่อรวมใน 9เดือนแรกปีนี้ เติบโต 9.7% จากสิ้นปี 2554

ดังนั้น ยังคงเป้าหมายการเติบโตสินเชื่อทั้งปี 2555 ของกลุ่ม 12% จากปีก่อนและปรับใช้มูลค่าพื้นฐานเป็นปี 2556 ส่งผลเป้าหมายราคาหุ้นธนาคารเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 13.9%

“เราปรับใช้มูลค่าพื้นฐานหุ้นธนาคาร 9 แห่งเป็นปี 2556 จากเดิมปี 2555 ส่งผลให้ปรับเป้าหมายราคาหุ้นธนาคาร 9 แห่งเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 13.9%”

ทั้งนี้ ได้ปรับเป้าหมายราคาหุ้นของ KK เพิ่มขึ้นมากที่สุด 27% และที่มีการปรับราคาเป้าหมายสูงกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ TISCO ปรับเพิ่มขึ้น 22% เป็น 55 บาท และ TCAP ปรับเพิ่มขึ้น 20% เป็น 45 บาท

ราคาหุ้นอาจผันผวนมากขึ้นหลังประกาศผลการดำเนินงาน ดังนั้นคงคำแนะนำกลุ่ม “มากกว่าตลาด” จากมุมมองบวก

ประการแรก การเติบโตของกำไรต่อเนื่อง 26.5% ในปี 2555 และ 16.5% ในปี 2556

ประการที่สอง การปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE ) เป็น 14.6% ในปี 2555 และ 14.9% ในปี 2556

ประการที่สาม งบดุลแข็งแกร่งรองรับการเติบโตในอนาคต

อย่างไรก็ดี มองว่าราคาหุ้นธนาคารอาจมีความผันผวนมากขึ้นจากแรงขายทำกำไร หลังการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3

กลยุทธ์การลงทุนกลุ่ม แนะนำ “ซื้อ” หุ้นธนาคารที่มีพื้นฐานดี แต่รอจังหวะอ่อนตัว เลือก KBANK (มูลค่าพื้นฐานปี 2556 ที่ 220 บาท) TISCO (มูลค่าพื้นฐานปี 2556 ที่ 55 บาท) TCAP (มูลค่าพื้นฐานปี 2556 ที่ 45 บาท) เป็นลำดับแรก และ KK (มูลค่าพื้นฐานปี 2556 ที่ 54 บาท) SCB (มูลค่าพื้นฐานปี 2556 ที่ 198 บาท) BBL (มูลค่าพื้นฐานปี 2556 ที่ 232 บาท) เป็นลำดับรอง