posttoday

คาดผลงานSCCไตรมาส2ดี

12 กรกฎาคม 2556

โดย...เจียรนัย อุตะมะ

โดย...เจียรนัย อุตะมะ

นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการ ไตรมาส 2 ปี 2556 ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) จะไม่ลดลงจากไตรมาสแรกเนื่องจากส่วนต่างราคาปิโตรเคมี ราคาปูนภายในประเทศและรายได้จากเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อผลประกอบการและแนะนำให้ซื้อ

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้คาดว่า SCC จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ 8,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 1% จากไตรมาสแรก โดยคาดว่าผลประกอบการจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น กำไรจากสต๊อก ความต้องการและราคาปูนที่สูงและไม่มีรายการค่าใช้จ่ายพิเศษ 600 ล้านบาท จากเหตุการเพลิงไหม้ในปีที่แล้ว ผลประกอบการจะคงที่จากไตรมาสแรก ถึงแม้จะเป็นช่วงผลประกอบการต่ำ แต่ยังมีรายได้เงินปันผลที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนั้นยังคาดว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก แม้เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง โดยคาดว่าผลประกอบการ SCC จะเป็นไปตามที่คาดสำหรับปี 2556 เพิ่มขึ้น 52% และในครึ่งหลังปี 2556 ผลประกอบการจะเพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาปิโตรเคมี ความต้องการและราคาปูนที่เพิ่มขึ้น การก่อสร้าง การกลับมาดำเนินการผลิตในทุกโรงงานและผลตอบแทนจากเงินลงทุน

ทั้งนี้คงประมาณการและมูลค่าที่เหมาะสม 526 บาท สำหรับปี 2556 และมีปัจจัยสำคัญคือ

ประการแรก ความผันผวนของเศรษฐกิจ
ประการที่สอง ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น
ประการที่สาม ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น
ประการที่สี่ ความเสี่ยงทางการเมือง

บล.บัวหลวงคาดว่าผลประกอบการของ SCC มีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยกำไรไตรมาส 2/2556 มีแนวโน้มดีกว่าที่ตลาดประมาณการไว้เมื่อ 2-3 เดือนก่อน ด้วยอานิสงส์จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่สูงกว่าคาด ในขณะที่กำไรไตรมาส 3/2556 ยิ่งมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งกว่า หนุนโดยส่วนต่างปิโตรเคมีที่แข็งแกร่งในช่วงฤดูกาลผลและความต้องการซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่เติบโตต่อเนื่อง

ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจ SCC ซื้อขายอยู่บนสัดส่วนราคาต่อกำไร (พีอี) ปี 2556 ที่ 15.7 เท่า และ พีอี ปี 2557 ที่ 13.1 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของบริษัทเล็กน้อย (สูงกว่าค่าเฉลี่ยเพียง 0.1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน)

“เราเชื่อว่าหุ้นควรจะซื้อขายที่ระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวงจรธุรกิจในช่วงขาขึ้น เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2556 ที่ 520 บาท”

SCC จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2556 ในวันที่ 31 ก.ค. ที่ 8,700 ล้านบาท เติบโต 104% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และทรงตัวจากไตรมาสแรก โดยกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทุกหน่วยธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มปิโตรเคมีซึ่งพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร หนุนโดยส่วนต่างราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น หากเทียบจากไตรมาสที่ผ่านมารายได้จากเงินปันผลจากโตโยต้าจะสามารถชดเชยผลกระทบจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงของธุรกิจซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง และกระดาษด้วยปัจจัยทางฤดูกาลความต้องการต่ำได้ทั้งหมด

ด้านความต้องการซีเมนต์ยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าโครงการรัฐจะล่าช้าออกไปโดยความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศน่าจะขยายตัวได้ราว 10% ในไตรมาส 2/2556 และมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ในระดับนี้ต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี หนุนโดยการก่อสร้างโครงการของภาครัฐและเอกชน

ทั้งนี้ SCC คาดว่าความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศจะขยายตัวราว 5-10% ในปีหน้า แม้ว่าจะไม่มีโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาทและโครงการระบบสาธารณูปโภคภายใต้แผนการกู้ยืมเงินจำนวน 2.2 ล้านล้านบาท ในส่วนของราคาซีเมนต์นั้นยังคงทรงตัวอยู่ที่ 1,800-1,850 บาทต่อตันในช่วงไตรมาสนี้ แต่คาดว่าอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคาจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีการโยกปริมาณส่งออกมาขายในประเทศแทน
แม้ว่าไตรมาส 2/2556 จะเป็นช่วงความต้องการต่ำแต่ราคาโพลีโอเลฟินส์ปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ต้นทุนแนฟทาปรับตัวลงมากกว่า ดังนั้นค่าเฉลี่ยของส่วนต่างราคา HDPE-แนฟทา และส่วนต่างราคา PP-แนฟทา เพิ่มสูงขึ้นเป็น 585 เหรียญสหรัฐต่อตันเพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 12% จากไตรมาสแรก) และ 167 เหรียญสหรัฐต่อตัน (สูงขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและ 6% จากไตรมาสแรก) ตามลำดับ

“เราคาดว่าจะมีการขาดทุนจากสินค้าคงคลังประมาณ 0.5-1,000 ล้านบาท เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์และสินค้าคงคลังปรับตัวลดลง แต่กำไรของธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะสามารถขยายตัวได้จากไตรมาสก่อนหน้า ในส่วนของกำไรไตรมาส 3/2556 นั้น กำไรมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง หนุนโดยส่วนต่างราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น ปริมาณขายที่เพิ่มมากขึ้น และกำไรจากสินค้าคงคลัง”