HARLEY DAVIDSON 2014
Harley-Davidson เปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ปี 2014 ภายใต้โปรเจค “Rushmore”
เรื่องโดย Superbird/ภาพโดย: Courtesy of Harley-Davidson / https://www.facebook.com/fastbikesthailand
การเปิดตัวในครั้งนี้จัดขึ้นที่ Golden Palm Tree Iconic Resort & Spa เมืองเซปัง ประเทศมาเลเซีย โดยมีเจ้าหน้าที่ CEO ระดับสูงจาก Harley-Davidson Museum เป็นประธานกล่าวเปิดงานและชี้แจ้งราย-ละเอียดของโปรเจค “Rushmore” พร้อมนำรถจักรยานยนต์ Harley-Davidson รุ่น Ultra limited 103 Twin Cooled, Ultra Classic Twin Cam 103 และรุ่นต่างๆ ที่ได้รับการปรับปรุง เพิ่มเติมเรื่องความสะดวกสบายและความปลอดภัย รวมถึงพละกำลังในการขับขี่ได้รับการ-พัฒนาไปในทิศทางเดียวกันให้ออกมาเป็นจักรยานยนต์ที่ตอบสนองและเติมเต็มความต้องการของผู้ใช้สูงสุดในรอบ 110 ปี
รายละเอียดทั้งหมดของโปรเจคนี้ก่อกำเนิดเป็นพลังขับเคลื่อนซึ่งรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบเรียกว่า “Power Trains” เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังที่แท้จริง Harley จึงจัดให้มีการทดสอบศักยภาพของรถ H-D ทุกรุ่นกว่า 10 คัน ผ่านเส้นทางการทดสอบอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการขี่ฝ่าจราจร ในเขตชุมชนที่ต้องควบคุมความเร็วต่ำ การรักษาบาลานซ์น้ำหนักระหว่างคนกับรถ การใช้ความเร็วสูงบนเส้นทางซูเปอร์ไฮเวย์ เส้นทางขึ้นลงเขาที่ใช้กำลังแรงบิดเอนจิ้นเบรคและระบบเบรด ABS แบบเต็มๆ รวมถึงการบังคับมุมเลี้ยวทั้งซ้าย/ขวา โค้งแคบและกว้างด้วยความเร็วสูงเป็นระยะทางทั้งหมดกว่า 225 กม. ใช้เส้นทางเป็นวงกลมจากเซปังผ่านสิมิรันและวนกลับมาเซปังอีกครั้งจากทางซ้าย โดยมีเจ้าหน้าที่จาก H-D เป็นผู้เลือกรถและอีก 2 ท่านจาก H-D อเมริกาขี่นำและตามขบวนปิดท้าย...ก่อนเข้าสู่บททดสอบสมรรถนะ เรามาดูกันก่อนว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่บอกได้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้...โดนใจจริงๆ!
อะไรคือโปรเจค Rushmore
ในปี 2014 Harley-Davidson ได้พลิกโฉมรถมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งภายใต้โปรเจค “Rushmore” ออกมาเป็นรถที่มีการสร้างแบบ “คัสตอมเมด” ตั้งแต่หัวจรดท้าย เพื่อสุนทรียภาพและนิยามใหม่ของการขับขี่ทัวริ่ง ด้วยสมรรถนะของตัวรถที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการขับขี่ทางไกลได้หลายพันไมล์อีกทั้งยังสามารถมอบความสะดวกสบายและความเพลิดเพลินในทุกๆ การเปิดคันเร่งให้แก่ผู้ขับขี่ได้อีกด้วย
การเดินทางที่มีผู้ขับขี่คอยชักนำ
โปรเจค Rushmore นำเสนอทิศทางใหม่ในการพัฒนาโปรดักส์ของ H-D ที่หลอมรวมเอาเสียงจากบรรดาผู้ใช้และฟีดแบคใส่ลงไปตลอดทั้งสายการพัฒนาของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สามารถสนองตอบความต้องการอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนผ่านความสร้างสรรค์และเทคโนโลยีที่สั่งสมมาตลอดไลน์การผลิตรถทัวริ่งของ H-D จนออกมาเป็นจักรกล 4 แคทิกอรี่ตามนิยามของผู้ใช้
สิ่งที่เพิ่มเข้ามา
การควบคุม: เพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่ด้วยหลอด Daymaker LED และ ไฟฮาโลเจนคู่เสริมระบบ ABS ผ่านขุมพลังบล็อคใหม่ Twin-Cooled, High Output Twin Cam และ High Output Twin Cam 103 Powertrains
ระบบความบันเทิงภายในห้องโดยสาร: ด้วยเครื่องเสียงที่ถูกปรับฟังก์ชั่นและสีสันของหน้าจอใหม่ในรุ่น Boom Box 4.3 ให้เสียงออดิโอ คุณภาพสามารถเชื่อมต่อบลูทูธและจดจำเสียงได้ มี Text-to-Speech Technology, ระบบ GPS และ Navigator อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์อีกด้วย
ความรู้สึก: ส่งผ่านความรู้สึกใหม่ๆด้วย Batwing แฟริ่ง (แฟริ่งหน้าทรงปีกค้างคาวแยกอากาศที่เข้ามาด้านหน้าให้ลมไม่ปะทะตัวผู้ขับขี่ ในขณะเดียวกันก็รักษา Air Flow เอาไว้เพื่อระบายความร้อนออกจากองค์ประกอบต่างๆ) ทำงานร่วมกับ Splitstream Venting ช่องลมระบายความร้อนซึ่งอยู่บริเวณใต้วินด์ชิลล์คอยผันแปรแรง-ดันอากาศภายใต้แฟริ่งและดักอากาศไม่ให้เข้าปะทะตัวผู้ขับขี่ (สามารถกดปุ่มเพื่อปิดช่องลมดังกล่าวเพื่อป้องกันน้ำฝนจากบริเวณแผงหน้าปัด) อีกทั้งยังปรับปรุงในส่วนของเบาะนั่งโดยปรับทั้งหลักอากาศพลศาสตร์และสรีระศาสตร์ใหม่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย
สไตล์: รูปแบบและฟังก์ชั่นขององค์ประกอบหลายส่วนถูกพัฒนาขึ้นใหม่กระเป๋าสัมภาระหลังถูกปรับทรงและถูกออกแบบให้เป็น ดีไซน์ One-Touch เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย รวมถึงบังโคลนหลัง (Fender) ที่เบาและสวยกว่าเดิม ล้อหล่ออลูมิเนียมน้ำหนักเบาและเพิ่มสวิตชคอนโทรลต่างๆ เพื่อความสะดวกโยธิน
รายละเอียด
High Output Twin Cam 103 : วิศวกรด้านระบบส่งกำลังของ H-D ออกแบบ High Output Twin Cam 103 Engine ใหม่ภายใต้โปรเจค Rushmore เพื่อการส่งผ่านพละกำลังที่มากกว่าเดิมโดยประกอบไปด้วยเพลาลูกเบี้ยว (Camshaft) ใหม่เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของทอร์คในช่วง Bottom End และ Airboxซึ่งช่วยเพิ่มสมรรถนะการไหลเวียนของอากาศดูดอากาศเข้าได้มากกว่าเดิม (อยู่ในรุ่น Road king, Classic และ Street Glide 2014) เพิ่มแรงบิดอีก 5 % มากกว่า Standard Twin Cam 103 Powertrain ที่อยู่ในคลาสทัวริ่ง ทั้งหมดนี้เพิ่มความเร็วและแรงบิดมหาศาลในช่วง 60-80 ไมล์/ชม. ต่อไปจนถึงเกียร์ห้า เพื่อส่งผ่านพลังให้ผู้ขับขี่สามารถวิ่งแซงได้เมื่อต้องการรวมทั้งขี่ล่องไปตามเส้นหุบเขาแม้จะมีสัมภาระ และผู้ซ้อนท้ายด้วยก็ตาม
Twin-Cooled™ High Output Twin Cam 103: ออกแบบมาเพื่อรักษาไว้ซึ่งสมรรถนะภายใต้สถานการณ์อันท้าทาย อยู่ในรุ่น 2014 Ultra Limited, Electra Glide Ultra Classic และ Tri Glide™ Ultra Classic ด้วยการผสมผสานของระบบระบาย ความร้อนด้วยอากาศ และระบายความร้อนด้วยของเหลว (Liquid Cooled) อันแม่นยำ ทำให้เครื่องยนต์บล็อค Twin-Cooled High Output 103 สามารถคงไว้ซึ่งสมรรถนะสูงสุดหรือ Peak Performanceตลอดเวลาภายใต้การบรรทุกสัมภาระอันหนักอึ้งหรือสภาวะการขับขี่ที่ทรหด โดยใช้อัตราส่วนกำลังอัดสูตร10.1:1 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังของเครื่องยนต์ ให้แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 10.7 % และกำลังสูงสุดอีก 10.6% มากกว่าในบล็อค Standard Twin Cam103 เส้นทางของเหลวที่ใช้ระบายความร้อนจะเดินทางผ่านลูกสูบ (Cylinder Heads) ในบริเวณรอบๆวาล์วไอเสียและระบายความร้อนสะสม ในบริเวณส่วนแฟริ่งช่วงล่างซ้ายและขวาควบคุมและคำนวณการไหลเวียนของสารหล่อเย็นผ่าน Electric Pump ที่มีความแม่นยำ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารเมื่อต้องเผชิญกับสภาพการจราจรที่ติดขัด ภายใต้สภาพอากาศร้อนๆ อุณหภูมิของลูกสูบถูกลดให้ต่ำลง Airbox ถูกปรับทรงใหม่เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ และมีการเปลี่ยนทรงแฟริ่งล่างเพื่อเพิ่มการระบายอากาศและส่งผ่านอากาศเย็นสู่ผู้ขับขี่รวมถึงผู้ซ้อนท้าย
New Hydraulic Clutch Control : รถทัวริ่งทุกคันยกเว้น Road King มาพร้อมคลัทช์ไฮดรอลิคใหม่แต่ยังใช้ Cable Clutch-Lever เดิมและยังมีสปริงคลัทช์ที่แข็งแรงกว่าเดิม ไม่ต้องการการปรับตั้งหรือเซอร์วิสให้ยุ่งยาก ทำงานได้ทุกสภาพแวดล้อมและมีอายุการใช้งานยืนยาว เปลี่ยนเพื่อรองรับแรงบิดที่เพิ่มขึ้น มี Slip Feature เพื่อการดาวน์ชิพและเอนจิ้นเบรคที่นุ่มนวล
Reflex Linked Brakes with ABS : ทุกโมเดลในปี 2014 มาพร้อม Reflex Linked Brakes และ ABS เป็นของสแตนดาร์ด Reflex Linked Brakes (เบรคสองล้อ) จะทำงานผสานกับ ABSผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มเสถียร-ภาพสูงสุดทั้งหน้าและหลังภายใต้ภาวะการใช้เบรค Linked Braking จะทำงานเมื่อขับขี่ด้วยความเร็ว 25 ไมล์/ชม. ขึ้นไป ถ้ามีการเบรคขณะใช้ความเร็วต่ำเบรคหน้าและหลังก็จะทำงานแยกกัน
2014 CVO Ultra Limited : แม้มันจะเป็นมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งเกรดพรีเมียมอยู่แล้วแต่ด้วยโค้ดเนมโปรเจค Rushmore H-D ยังยก CVO Ultra Limited ให้เหนือระดับขึ้นไปอีกจากเสียงสะท้อนของผู้ใช้เพื่อเพิ่มและพัฒนาขีดจำกัดในการเปิดรับประสบการณ์การขับขี่ใหม่ในทุกแง่มุม
ไฟ Daymaker LED : ไฟหน้าและไฟตัดหมอก LED เสริมความปลอดภัยด้วยคุณภาพโคมที่ผลิตมาเพื่อให้แสงสีขาว ซึ่งใกล้เคียงกับแสงธรรมชาติในช่วงกลางวันมากที่สุด ส่องสว่างชัดเจนในทุกเส้นทางไม่ฟุ้งและไม่รบกวนต่อเส้นการจราจรที่สวนมา
ระบบอินโฟเทนเมนท์ The Boom : Box 6.5 GT ภายในห้องโดยสารส่งออดิโออันรื่นรมย์ น่าตื่นตะลึงและรองรับเทคโนโลยีอันหลากหลาย อีกทั้งยังมีจอสีแบบทัชสกรีน, เชื่อมต่อบลูทูธและ USB รองรับการใช้งานเชื่อมต่อกับ Apple iPhone/i Pod, หูฟัง Headset และระบบนำทาง GPS
พัฒนาระบบกันสะเทือนช่วงหน้า : มีองค์ประกอบของระบบกันสะเทือนด้านหน้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแกนโช้คหน้าใหญ่ขึ้นและแผงคอที่กว้างขึ้น น้ำหนักเบา เพิ่มการตอบสนองต่อการควบคุมมุมเลี้ยวซ้าย-ขวามั่นคงมากยิ่งขึ้น ความกว้างของขนาดแกนโช้คเพิ่มอีก 14 % จาก 43.1 มม. เป็น 49 มม. แฟริ่งใหญ่กว่าเดิม มีการปรับ Damping ของช่วงล่างให้นุ่มนวลรับกับสภาพพื้นผิวของถนน หนึบและกระชับในทุกย่านความเร็วรอบเครื่องยนต์
Project Rushmore Batwing Fairing : (แฟริ่งหน้าทรงปีกค้างคาว) หัวใจหลักของแฟริ่งใหม่อยู่ที่ช่องลมระบายอากาศใหม่หรือ Splitstream Vent ใต้วินด์ชิลล์
ซึ่งมีหน้าที่ระบายความร้อนคอยผันแปรแรงดันอากาศภายใต้แฟริ่งและดักอากาศไม่ให้เข้าปะทะตัวผู้ขับขี่ โดยช่องเหล่านี้ไม่สามารถปรับได้และถูกทำไว้ให้เปิดตลอดทุกสภาพการขับขี่ แต่ก็ปิดได้โดยกดปุ่มเพียงครั้งเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำฝนเข้าไปบริเวณแผงหน้าปัด
ปรับแฟริ่งล่าง : แฟริ่งส่วนล่างถูกปรับรูปทรงใหม่เพื่อเสริมแอร์โร-ไดนามิกส์โดยรวมและระบายความร้อนของเครื่องยนต์ อีกทั้งยังเพิ่ม Air Flow ให้แก่ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย
Passenger Comfort : ปรับเบาะเพื่อเพิ่มความสบาย
One-Touch Design : ออกแบบกระเป๋าหลัง/ข้าง เครื่องเสียงและถังน้ำมันให้ใช้งานง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส
กระเป๋าหลังใหม่ : ออกแบบรูป-ลักษณ์ให้ดูกะทัดรัดขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้วมีความจุมากกว่าตัวเก่า ใส่หมวกเต็มใบได้ 2 ลูก ไม่บดบังหรือสะท้อนต่อไฟ LED ทางด้านหลัง ใช้งานง่ายแบบ One Touch เปิด/ปิด สามารถปรับเลื่อนเดินหน้าถอยหลังได้ 1 นิ้ว เพื่อปรับตำแหน่งพนักพิงผู้โดยสาร กระเป๋าข้างใหม่เปิด/ปิดง่ายและจุมากขึ้นเช่นกัน
New Hand Controls : รูปร่างความรู้สึก ตำแหน่งและฟังก์ชั่นของปุ่มทั้งหมดที่ควบคุมด้วยมือถูกพัฒนาขึ้นไม่ว่าจะเป็นรูปทรงและมุมองศาต่างๆ ถูกปรับให้รับกับนิ้วโป้งหรือปลายนิ้วสัมผัส ควบคุมเอนเตอร์เทนเมนท์ทั้งหมดผ่านปุ่มแบบ 5 ทิศทางที่อยู่ทั้งด้านซ้ายและขวาของแผงควบคุม สวิตช์สับไฟสูงอยู่บริเวณด้านหลังเหนือแฮนด์ด้านซ้าย Odometer, Trip, ค่าคำนวณน้ำมันหมดถัง, นาฟิกาและตำแหน่งเกียร์แสดงผ่านหน้าจอ LCD
แผงเรือนไมล์ใหม่ : ออกแบบมาให้อ่านง่ายในทุกสภาวะ มาตรวัดรอบและความเร็วใหญ่ขึ้น 10% และมีตัวเลขกว้างขึ้นอีก 68% ไฟเตือนและหน้าจอวัดรอบก็ใหญ่ขึ้นด้วย เพื่อให้มองเห็นชัด The Fuel และ Volt Gauges ใหญ่ขึ้นอีก 28% มาตรแสดงแรงดันน้ำมันและอุณหภูมิถูกย้ายไปโชว์อยู่ที่หน้าจอ
อินโฟร์ ของ Boom Box (เครื่องเสียง)
New Fenders : Fender เหล็กมีเส้นสายเพรียวขึ้น บังโคลนหน้าตัดให้เว้าสูงขึ้นเพื่อโชว์ให้เห็นล้อหน้ามากกว่าเดิม ้ Fender ถูกปรับระดับให้เขยื้อนไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อให้ขนานกับพื้น
2014 CVO Road King : สนุกสุดมันด้วยสมรรถนะแบบ High-Performance Road King คือรถทัวเรอร์ที่ทำให้ผู้พบเห็นตกตะลึงทุกครั้งในคืนวันศุกร์เมื่อคุณนำรถออกไปขับขี่กับเพื่อนๆ และเหมาะจะขี่นำขบวนเมื่อออกทัวร์
เมื่อจับมันเข้าโปรเจค Rushmore ผนวกแรงผลักดันและความต้องการของผู้ใช้เข้ากับหลักการพัฒนา ที่ให้ความสำคัญในทุกมุมมองของ H-D มันจึงออกมาเป็นรถที่พร้อมจะมอบประสบการณ์ในการขับขี่รูปแบบใหม่ให้แก่คุณ
เริ่มต้นทดสอบเพื่อพิสูจน์พลังขับเคลื่อน
รุ่งเช้าของวันใหม่เริ่มต้นด้วยพระอาทิตย์ที่สวยสุดๆ ลอยขึ้นรับอรุณเหนือที่พักสไตล์มัลดีฟส์เล็กๆ ของเรา อากาศสดใสสบายๆ เมื่อเตรียมออกเดินทางเนื่องจากผมมาถึงจุดนัดพบก่อนเวลาพอควรจึงได้จังหวะเก็บภาพรถเกือบทุกรุ่นก่อน โดยทุกคันถูกจอดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมแขวนป้ายชื่อให้เสร็จสรรพ โดยตัวแทนจากฟาสท์ไบค์ ไทยแลนด์ หรือผมเองได้รุ่น Road King Classic 103 cu in หรือ 1,670 ซีซี. ต้องยอมรับว่าเคยมีโอกาสทดสอบรถรุ่นนี้แค่ครั้งเดียว กับตัว 1,500 ซีซี. แถมไม่ได้ทดสอบอย่างละเอียดด้วย ส่วนตัวในตอนแรกผมคิดว่า H-D เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่คิดว่าการใช้รถจักรยานยนต์ควรจะเรียบง่ายและไม่ใช้ความเร็วมากนัก ซึ่งเราคงได้รู้กันคราวนี้!
เมื่อตัวแทนสื่อมวลชนได้รถคู่ใจทุกคนแล้ว เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันรูปร่างไม่ใหญ่นักก็ขี่ออกนำ ผมคิดในใจว่าคงไปได้ไม่เร็วนักเพราะขนาดรถที่ใหญ่และผู้ขับขี่ไม่สูงมาก (คิดผิดถนัด) เริ่มออกจากโรงแรมเลี้ยวขวาผ่านถนนเล็กๆ ที่ต้องขี่ตามกันเป็นแถวเดียว เลี้ยวขวาผ่านต้นปาล์มยาว สุดลูกหูลกููตาด้วยความเร็วประมาณ 80/100 กม./ชม. เพื่อให้มีเวลาปรับตัวกับตำแหน่งการ-วางเท้าที่ปกติใช้การวางเท้าแบบรถสปอร์ตมาโดยตลอด จึงรู้สึกได้ว่าการใช้เบรคหลังและการใช้เท้าเปลี่ยนเกียร์ ยังไม่คล่องสักเท่าไหร่ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาทีผมก็ทำความคุ้นเคยกับรถได้อย่างไม่ยากเย็น การใช้ความเร็วต่ำกับน้ำหนักกว่า 403 กก. นั้นไม่ทำให้การใช้เบรคและเกียร์ต่างๆ ส่งผลต่อความเร็วหรือทำให้ตัวรถสูญเสียการ-ควบคุมเลย แต่กลับช่วยให้มั่นใจมากขึ้นเมื่อมันวิ่งได้เสถียรมาก ถึงแม้จะมีกระแสลมปะทะอย่างแรงจากรถที่สวนทางมาก็ไม่ทำให้เสียการทรงตัวแต่อย่างใด ผมเริ่มคุ้นเคยกับการใช้เกียร์ รอบเครื่องยนต์และสวิตช์สัญญาณต่างๆ
คนนำขบวนเริ่มเพิ่มความเร็วกว่า 120 กม./ชม. การใช้ความเร็วขณะแซงรถขึ้นไป แรงบิดอันมหาศาล ส่งให้อัตราเร่งมาอย่างรวดเร็วจนรู้สึกประหลาดใจว่ามันสามารถ “ตอบสนอง” ได้อย่างทันท่วงที การสวิงรถไปทางซ้าย-ขวาก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายและกล้าพูดได้ว่าไม่จำเป็นต้องมีทักษะมากมายนักก็สามารถคุมมันได้ เราวกเข้าทางหลักบนซูเปอร์ไฮเวย์ ความเร็วเพิ่มขึ้นจาก 120-170 กม./ชม.
ในบางช่วงผมรู้สึกได้ว่ายิ่งเร็วยิ่งมีความเสถียรเนื่องจากโครงสร้างรถและน้ำหนักที่ถูกคำนวณมาอย่างดี เมื่อตรวจสอบสถานะของ ตัวเองพบว่าการนั่งหลังตรง แขนกางออกจากหัวไหล่เล็กน้อยและการวางเท้ายื่นไปข้างหน้ามันค่อนข้างสบาย ที่สำคัญวินด์ชิลล์ที่ป้องกันกระแสลมก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม เราสามารถมองทิวทัศน์สองข้างทาง ได้อย่างสบายอารมณ์ซึ่งทำให้้ผมประทับใจมาก เพราะแม้มันจะเป็นรถจักรยานยนต์ที่ถูกออกแบบ มาให้มีความยาวและใหญ่ แต่ก็สามารถสวิงมันได้เหมือนรถคันเล็กๆ เมื่อเคลื่อนตัวไปแล้วผมยังคงรักษาระดับความเร็วให้เกิดความคุ้นเคยก่อนที่ขบวนจะหยุดพักกลางวัน
จากจุดนั้นทุกคนเริ่มก็เข้าสู่การวัดความเก๋ากันแล้ว เพราะเส้นทางจะเริ่มเปลี่ยนเป็นวกขึ้นเขาเรียกว่าเหมือน “สนามเขาใหญ่เซอร์กิต” ยังไงยังงั้นเลย เจ้าหน้าที่ถามทุกคนว่าพร้อมที่จะออกเดินทางกันหรือยัง งั้นก็ไปกันเลย! ผมยังคงอยู่เป็นคันที่สองนับจากเจ้าหน้าที่อเมริกัน เขาเริ่มกดคันเร่งหนักขึ้น แรงขึ้น ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าการใช้เบรคหรือเกียร์หนักๆ จะทำให้รถเลื้อยไหมนะ? แต่เมื่อเห็นเขาไม่ออกอาการอะไร งั้นก็จัดให้!
ผมตามแบบไม่หลุดสองถึงห้าช่วงรถ ก่อนเริ่มรู้สึกว่าระบบเบรค ABS นั้นดีเกินไป เลยลองเปลี่ยนมาใช้เอนจิ้นเบรคหนักๆ ใช้เบรคน้อยลงกับเส้นทางคดเขี้ยวขึ้นเขา-ลงเขา มันได้ผล! จึงเริ่มใช้ความเร็วสูงขึ้นโดยมีผู้สื่อข่าวมาเลย์ไล่ตามหลังมา 2 คัน โค้งแต่ละโค้งทั้งซ้าย-ขวา กว้าง-แคบ Road King สามารถทำงานได้มั่นใจ แต่มาใจหายพอดูเมื่อรู้สึกได้ พร้อมกับเสียงดังแคร๊กๆ เพราะนั่นหมายความว่าต้องมีส่วนหนึ่งส่วนใดถูกับถนนอย่างแน่นอน
ใช่! มันเป็นรถจักรยานยนต์ที่ออกแบบมาให้ศูนย์ถ่วงต่ำเพื่อง่ายต่อการควบคุม แต่ด้วยน้ำหนักและโครงสร้างของยางที่ออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ รถจะไม่มีทางเสียสมดุลจากการครูดพื้นเพียงเล็กน้อยแน่นอน ดังนั้นความกังวลใจในจุดนี้จึงหมดไป ต้องบอกก่อนว่าความเร็วที่ใช้ในโค้งบางโค้งนั้นสูงถึง 120 กม./ชม.
โค้งที่ช้าที่สุดก็ประมาณเกียร์สองหรือช่วงทางตรงลงเขาก็ใช้เกียรห้า สุดคันเร่งแบบหมดแม๊กซ์ แต่สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ H-D ซึ่งถือเป็นข้อกำหนดที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะเข้าโค้งช้าหรือเร็วสิ่งที่ต้องทำคือต้องใช้ความเร็วที่คุมได้ เอียงตัวไปกับรถและไม่ว่าจะกรณีใดๆ ห้ามบีบคลัทช์เข้าโค้งเด็ดขาด เหตุผลคือรถนั้นมีน้ำหนักมากเมื่อบีบคลัทช์เข้าโค้งหรือตกใจบีบคลัทช์ มันจะตัดการทำงานแล้วรถก็จะหมดแรงดึงจากเครื่องยนต์ จากนั้นรถจะตั้งตรงและพุ่งออกจากจุดที่ต้องการเลี้ยวทันที ผมยังคงมุ่งหน้าแบบเต็มเหนี่ยวแต่ก็ไม่กล้าชาร์จไปนำเจ้าหน้าที่เพราะยังชั่วโมงบินน้อยกับรถทัวริ่งขนาดยักษ์ แต่จากที่มีประสบการณ์กับรถ Harley มาบ้าง บอกได้เลยว่า H-D เมื่อวานกับ H-D
วันนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเรามาถึงจุดถ่ายรูปพร้อมกัน 4-5 คันระหว่างรอกลุ่มหลังอีกพักใหญ่ก็พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อตอกย้ำความ-มั่นใจว่ามันเป็นรถจักรยานยนต์ “ทัวริ่ง” ที่ดีที่สุดในโลกขณะนี้ ผมเลยขอเปลี่ยนรถเป็นรุ่น Ultra Limited 103 Twin Cooled สัมผัสแรกสิ่งที่แตกต่างจาก Road King คือรู้สึกได้ถึงความสูงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่เท้าทั้งสองข้างก็ยังเหยียบอยู่บนพื้นได้อย่างสบาย ปลายแฮนด์เข้ามาใกล้และแคบกว่านิดหน่อย เคาน์ลิ่งหน้าใหญ่มีหน้าปัดเรือนไมล์ดิจิตอลกลมแบบเข็ม รวมถึงมาตรวัดต่างๆ ชัดเจนมาก หน้าปัดออกดิโอใหญ่เห็นชัดไม่ว่าแสงจะจ้าหรือน้อย มือจับ แฮนด์สั้นและถูกล็อคไว้ตรงจุดจับปลายแฮนด์ ทางด้านซ้ายมีสวิตช์ปรับออดิโอแตร สัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย ส่วนด้านขวามีสวิตช์สัญญาณไฟเลี้ยวขวา ครูซ-คอนโทรลและสวิตช์สตาร์ทเครื่องยนต์ ตามมาด้วยลำโพงที่ให้กำลังขับแบบสะใจ ถัดมาเล็กน้อยมีกล่องด้านล่างไว้ใส่ iPod หรือโทรศัพท์ เบาะกระชับล็อคการเคลื่อนตัวแบบไม่ต้องกังวล เชื่อมต่อด้วยเบาะซ้อนท้ายที่อยู่เหนือระดับผู้ขับขี่เล็กน้อย ดูแล้วนั่งสบาย ขนาบข้างด้วยลำโพงทั้งสองด้าน
ถึงตรงนี้ผมคงไม่ต้องพิสูจน์ความเร็วสูงสุดอีกแล้วแต่ต้องการรู้ว่า Ultra Limited นั้นให้ความสะดวกสบายมากแค่ไหน สิ่งแรกที่พบคือเลี้ยวง่ายในโค้งแคบๆ อัตราเร่งมาเร็ว กลางต่อเนื่อง แต่ความเร็วปลายไม่สูงมากนักอาจเป็นเพราะรถใหม่เครื่องแน่นก็เป็นได้ ระบบกันสะเทือนหนึบจนรู้สึกว่ากระด้างนิดๆ
สำหรับการขี่คนเดียว แต่ก็สามารถเปลี่ยนเป็นแบบถุงลมได้เพราะไดมิเตอร์เท่ากันกับตัว Classic ระบบเบรค ABS มั่นใจ ระบบกันสะเทือนหน้าหนึบไม่สะท้านในทางขรุขระ การบาลานซ์ตัวรวมถึงการเอียงตัวไปกับรถ ทำได้อย่างยอดเยี่ยมแม้จะใช้ความเร็วต่ำ
แต่สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือระบบ “Infotainment” ที่ทำให้การขับขี่มีความสุขกับความสุนทรีย์ของเสียงเพลงที่ดังจนเพื่อนรวมทางปรบมือให้ ผมซึมซับกับการขับขี่ Ultra Limited อย่างน่าประทับใจ คงต้องตอบอย่างฟันธงว่า “Harley-Davidson วันนี้ไม่เหมือนวันวาน มันมีความสง่างาม หรูหรา สะดวกสบายและมีพลังอย่างเหลือเชื่อ จนสามารถฟันธงได้เลยว่า Harley-Davidson เป็นรถจักรยานยนต์ทัวริ่งที่ดีที่สุดในตลาด ตามมุมมองของผมจริงๆ”
***************
สมัครสมาชิกรายปีเพียง 1,560 บาท (จากราคาปกติ 2,460บาท) ภายในเดือนก.พ.2557
โทร. 02-6164729, อีเมล์: [email protected]