posttoday

เปิดใจ ‘ลาร์ส นอร์ลิ่ง’ ดีแทคเป็นของคนไทย

19 มกราคม 2560

ในยุคของการแข่งขันของธุรกิจโทรคมนาคม หลังจากการประมูลคลื่น 4จี ที่มีมูลค่ากว่าแสนล้านนั้น ดีแทค

โดย...ณัฏฐ์ธยาน์ สุทธิเจริญ

ในยุคของการแข่งขันของธุรกิจโทรคมนาคม หลังจากการประมูลคลื่น 4จี ที่มีมูลค่ากว่าแสนล้านนั้น ดีแทค ถือว่าเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่เจอผลกระทบหนักว่า ทำไมไม่ทุ่มเงินสู้เหมือนอีก 2 ค่ายที่เหลือ หรือเป็นเพราะนายทุนหลักอย่างเทเลนอร์จะถอนสมอ หรือเพราะดีแทคไม่เห็นความสำคัญของตลาดไทยจึงคิดที่จะหยุดดำเนินกิจการ

ท่ามกลางข่าวลือมากมาย ทำให้ ลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามานั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารเพียง 8 เดือนเจอความกดดันให้ต้องรับมือมากมาย

ลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค เปิดเผยว่า แม้ว่าดีแทคจะมีตนเองนั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แต่องค์กรก็มีทีมงานคนไทยที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น ประเทศ ตันกุรานันท์รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเทคโนโลยี สิทธิโชค นพชินบุตร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด นาฏฤดี อาจหาญวงศ์รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบุคคล ปัญญา เวชบรรยงรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเซลส์ และ ภารไดย ธีระธาดารองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มกิจการองค์กร

ขณะที่ผู้บริหารที่เป็นชาวต่างชาติ จะมีแค่ ลาร์ส นอร์ลิ่ง, ซเวเร่ เพ็ดเดอร์เซ็น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการเงิน และ แอนดรูว์ ควอลเสท รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มดิจิทัล เท่านั้น

ประมูลครั้งหน้าสู้ไม่ถอย

“ดีแทคไม่ได้ถอย เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่จำเป็นต้องใช้คลื่น 900 และ 1800 เมกะเฮิรตซ์ เท่ากับค่ายอื่น”

นอร์ลิ่งเล่าว่า หากย้อนกลับไปมองเรื่องการประมูลคลื่น 900 และ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าเป็นการประมูลที่มีเม็ดเงินมหาศาลมาก แต่ถ้าเป็นการประมูลคลื่นในครั้งต่อไป ดีแทคอยู่ในโจทย์ที่กดดันทางธุรกิจเหมือนคู่แข่งจึงมั่นใจได้เลยว่าดีแทคจะสู้เต็มที่เพื่อให้มีคลื่นสำหรับให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ดีแทคยังยืนยันคือ ต้องการเห็นแผนแม่บทเกี่ยวกับการประมูลคลื่นล่วงหน้าว่าทาง กสทช.วางแผนจะนำคลื่นใดออกประมูลบ้าง ทั้งโลว์แบนด์และไฮแบนด์ เพื่อให้นักลงทุนและบริษัทได้เตรียมตัววางแผนล่วงหน้าและเตรียมเงินลงทุนล่วงหน้า รวมทั้งควรจัดการประมูลก่อนที่คลื่นจะหมดสัญญาสัมปทาน

ทั้งนี้เพราะจากการประมูลครั้งที่ผ่านมาทำให้เห็นผลกระทบแล้วว่ามีปัญหาอย่างไร ทั้งในส่วนของผู้ให้บริการ ลูกค้าและหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งการชะงักงันในการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคนไทยยุคดิจิทัลย่อมส่งผลกระทบอย่างมหาศาลทั้งเรื่องการทำธุรกิจและการใช้งานในชีวิตประจำวัน

นอกจากนี้ ภาครัฐควรจัดมาตรฐานราคาประมูล เพราะการให้แต่ละบริษัทแข่งกันที่เงินจำนวนมากๆ หลังจากจบการประมูลกลายเป็นโอเปอเรเตอร์ทุกค่ายต่างก็ต้องแบกรับต้นทุนมหาศาล ปัญหาที่ตามมาเมื่อต้นทุนสูงขึ้นก็คือลูกค้าก็ต้องแบกรับราคาเครื่อง ราคาแพ็กเกจที่สูงขึ้นด้วย กลายเป็นโยนผลกระทบกลับไปที่ผู้บริโภค

“แทนที่จะต้องเอาเงินไปทุ่มให้กับการประมูลค่าใบอนุญาต ให้เอาเงินก้อนนี้ไปขยายการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานจะดีกว่า ประโยชน์จะได้ตกไปอยู่ที่ผู้บริโภคโดยรวม”

กดดันและสนุก

สถานการณ์ทางธุรกิจของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมดีแทคในยุคที่เป็นเบอร์ 2 ในธุรกิจนี้เจอผลกระทบมากมายแม้ ซิคเว่ จะกลับมานั่งในตำแหน่งชั่วคราวก็เกือบรั้งไม่ไหว ทำให้ ลาร์ส ที่ต้องเข้ามานั่งแบบทันท่วงทีในช่วงปัญหารุมเร้า และมีสถานะต่างจากคู่แข่ง ทำให้ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นทั้งแก่ลูกค้าและพนักงาน

“การเข้ามานั่งในตำแหน่งนี้ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกกดดัน ที่ต้องเป็นผู้นำในการพาพนักงานทุกคนเดินหน้าสู้ศึกในสนามอุตสาหกรรมที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง และช่วงที่เข้ามาเป็นจังหวะที่ทุกค่ายไล่บี้กันอย่างหนักหน่วง ซึ่งการที่ทุกค่ายต่างก็ลงทุนอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้บริการที่ดีที่สุด ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกและประโยชน์ที่ดีแก่ลูกค้าที่จะเลือกในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งดีแทคจะถอยไม่ได้”

ขณะเดียวกัน ยิ่งภาพรวมตลาดมีการแข่งขันมากเท่าไหร่ ผู้บริโภคจะยิ่งได้ประโยชน์ ซึ่งดีแทคต้องสู้อย่างเต็มที่และโปร่งใสที่สุด สิ่งที่ยังคงเดินหน้าสานต่อคือวางโครงข่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การใช้งานเน็ตเวิร์กของลูกค้าทั้งกลุ่มพรีเพดและโพสต์เพดดีขึ้น และจะไม่ใช้กลยุทธ์ด้านเงินอุดหนุนเหมือนที่ผ่านมา

ดีแทคต้องเหนือกว่า

จากกลยุทธ์เดิมที่เคยประกาศไว้เมื่อตอนเข้ารับตำแหน่งใหม่ 3 ข้อ คือ 1.เน็ตเวิร์ก 2.แชนแนล และ 3.ลูกค้า ซึ่งหลังจากบริหารงานมาครบ 1 ปี ลาร์สได้ปรับเปลี่ยนการเดินหน้าสู่ปีระกาด้วย 3 กลยุทธ์ใหม่ คือ 1.เน็ตเวิร์กหรือเครือข่าย 2.กลยุทธ์ด้านดิจิทัล และ 3.ลูกค้า

สำหรับในเรื่องของเครือข่ายนั้น ดีแทคยังคงให้ความสำคัญและเดินหน้าต่อไป โดยในปี 2559 ที่ผ่านมา ได้ลงทุนไปจำนวนมากกับการขยายเครือข่าย รวมทั้งการหาพาร์ตเนอร์ร่วมในการนำคลื่นความถี่2300 เมกะเฮิรตซ์มาขยายการให้บริการด้วย

ต่อมาคือเรื่องของกลยุทธ์ด้านดิจิทัล (Digital Strategy) ในประเทศไทยมีลูกค้าของดีแทคกว่า 65% แต่ยังมีเหลืออีก 35% ที่ยังไม่ได้ใช้งานออนไลน์ จึงพยายามหาพาร์ตเนอร์ให้มากขึ้นเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าอยากเข้ามาใช้งานออนไลน์มากขึ้น ซึ่งมีหลายดีลที่จะได้เห็นในปีนี้ สุดท้ายคือเรื่องของตลาดพรีเพดและโพสต์เพด โดยเฉพาะตลาดโพสต์เพดที่มีการเติบโตมากกว่า 10% ทุกไตรมาส รวมทั้งจะมีการตอกย้ำเรื่องแบรนด์โพสิชันนิ่งให้มากขึ้น

มองโอกาสไทยยังโต

หากมองในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย อินเดีย เมียนมา หรือเวียดนามก็ตาม จะเห็นได้ว่ามีการสนับสนุนและเติบโตด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทั้งการสนับสนุนของภาครัฐ นวัตกรรมใหม่และการรู้จักใช้เทคโนโลยีของคนไทย ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้มีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากเรื่องของการจัดสรรคลื่นความถี่ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของการให้บริการด้านดาต้าแล้ว การส่งเสริมเรื่องนวัตกรรมแก่ธุรกิจใหม่ๆ ก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญ เช่น การส่งเสริมสตาร์ทอัพ ถามว่าสิ่งที่ภาครัฐทำอยู่เพียงพอหรือไม่บอกได้ว่ายังไม่พอ รัฐต้องสนับสนุนเพิ่มขึ้นไปอีก ไม่ใช่เรื่องของเงินทุน แต่เป็นการส่งเสริมให้มีโอกาสเข้าไปในอีกหลายอุตสาหกรรม เพราะไอเดียสำคัญของการทำธุรกิจคือต้องรู้จักเอานวัตกรรมเข้าไปใส่ทั้งสินค้าและบริการ

สุดท้ายคือเรื่องของการกระตุ้นให้คนใช้งานออนไลน์เพิ่ม แม้ประเทศไทยจะมีอัตราการใช้งานเครื่องสมาร์ทโฟนและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกว่า 38 ล้านคน หรือคิดเป็น 56% ของจำนวนประชากรไทย
ทั้งหมด 68 ล้านคน ถือว่ายังมีคนอีกมากที่ยังไม่ได้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ดังนั้น ภาครัฐจึงควรดึงคนที่เหลือกลุ่มนี้เข้ามาใช้งานออนไลน์ให้มากขึ้นด้วย