ปตท.สผ. พร้อมประมูล แหล่งบงกช
ราคาน้ำมันผันผวนกระทบธุรกิจเจาะและสำรวจจากความไม่แน่นอนด้านกำลังการผลิต รวมถึงนโยบายดำเนิน
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย
ราคาน้ำมันผันผวนกระทบธุรกิจเจาะและสำรวจจากความไม่แน่นอนด้านกำลังการผลิต รวมถึงนโยบายดำเนินนโยบายของประเทศผู้นำของโลก เริ่มมีความตึงเครียดด้านการเมืองระหว่างประเทศทำให้เกิดความกังวลว่าอาจนำไปสู่สงคราม
“พรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ให้สัมภาษณ์ “โพสต์ทูเดย์” ว่า บริษัทพร้อมและมีศักยภาพอย่างมากในการเข้ายื่นประมูลแหล่งบงกชซึ่งถือเป็นแหล่งขนาดใหญ่และมีกำลังการผลิตสูงสุดของบริษัท หรือ 25% ของกำลังการผลิตและยอดขายทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อต่ออายุสัมปทานใหม่ที่กำลังจะครบอายุในปี 2565-2566 ซึ่งบริษัทเป็นผู้ดำเนินโครงการอยู่แล้วและถือหุ้น 44% เนื่องจากมีประสบการณ์การทำงานและมีความชำนาญในแหล่งบงกช ในฐานะผู้ดำเนินโครงการ หากได้รับต่ออายุสัมปทานจะทำให้การดำเนินการผลิตมีความต่อเนื่อง
บริษัทพร้อมด้านฐานการเงินและแหล่งเงินทุนทั้งจากเงินสดในมือที่มากและมีความสามารถในการกู้เพิ่มเพราะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ดี/อี) ที่ต่ำจึงจะไม่กระทบต่อฐานะการเงินและยังมีกระแสงเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานในแต่ละปี บริษัทยังรอความชัดเจนในการร่างกฎหมายลูกตามที่รัฐบาลให้สัมภาษณ์จะแล้วเสร็จในเดือน มิ.ย.-ก.ค.ปีนี้ หลังพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ผ่านความเห็นชอบแล้ว จะสามารถเปิดการประมูลและทราบผลผู้ชนะประมูลภายในสิ้นปี 2560 นี้ กรณีหากบริษัทได้รับต่ออายุสัมปทานแหล่งบงกช งบลงทุนจะอยู่ในระดับเดิมที่บริษัทใช้ลงทุนคือประมาณ 150-200 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี ตลอดอายุสัมปทาน
สำหรับแผนการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการด้วยมีเงินสดคงเหลือในมือจำนวนมาก บริษัทมองหาโอกาสลงทุนเพื่อซื้อทรัพย์สินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการผลิตอยู่แล้วหรือใกล้ที่จะผลิตซึ่งมีแหล่งที่บริษัทสนใจคือแหล่งยาดานาที่เมียนมา ของเชฟรอนที่ประกาศขายหุ้น28.3% และประกาศขายหุ้นแหล่งอาทิตย์ ในอ่าวไทยอีก 16% อีกทั้งสนใจเข้าไปประมูลแหล่งใหม่ที่ใกล้จะเริ่มการผลิต อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมา
สำหรับราคาน้ำมันในตลาดโลกในขณะนี้คาดการณ์ได้ลำบากโดยเฉพาะหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ส่งผลให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำมันทั่วโลกต้องติดตามนโยบายที่จะออกมา รวมถึงล่าสุดยังได้เริ่มมีคำสั่งให้กองทัพสหรัฐออกมาโจมตีซีเรียซึ่งเป็นปัจจัยของภาวะการเมืองของโลกเป็นประเด็นที่มีผลต่อราคาน้ำมัน
ช่วงที่ผ่านมากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ประกาศลดกำลังการผลิตลงที่เคยอยู่ในระดับสูงก่อนหน้านี้ เนื่องจากต้องการให้ราคาน้ำมันตัวลดลงอยู่ในระดับที่ต่ำเพราะมีประเด็นเรื่องรายได้ของกลุ่ม ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลคือ ต้องการให้ราคาน้ำอยู่ในระดับต่ำเพราะไม่ต้องการให้เชลออยล์กับเชลแก๊สเกิดขึ้น ปีนี้มุมมองของคนส่วนใหญ่ในวงการน้ำมันว่าปี 2560ราคาน้ำมันดิบของโลกจะอยู่ในระดับประมาณ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
พรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล
สำหรับข้อตกลงในการลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและไม่ใช่โอเปกกำลังจะหมดอายุในช่วงกลางปีนี้ ต้องติดตามว่าในช่วงหลังปีนี้จะมีมติใหม่ออกมาอย่างไร ทั้งนี้หากบรรลุข้อตกลงว่าจะลดกำลังการผลิตต่อไปตามมติเดิมน่าจะเป็นประเด็นบวกต่อราคาน้ำมันของโลกไม่ให้ลดลง จากระดับปัจจุบันเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามเพิ่มเติมนอกจากปัจจัยของนโยบายสหรัฐและการเมืองของโลก แต่เมื่อราคาน้ำมันเริ่มมีแนวโน้มขยับขึ้นจะเริ่มเห็นเชลออยล์กับเชลแก๊สกลับมาผลิต จึงกดดันไม่ให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมากในเวลาที่รวดเร็ว
PTTEP อยู่ในช่วงการเตรียมกระบวนการเริ่มจัดทำแผนธุรกิจ 5 ปี (2561-2565) ซึ่งอาจปรับกลยุทธ์จากแผน 5 ปีเดิมปี 2560-2564 เพราะแผน 5 ปีส่วนใหญ่จะเป็นแผนธุรกิจที่จะต้องดำเนินการต่อเนื่อง แต่จะต้องกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจในระยะสั้นมีแผนหลักคือการรักษาระดับการผลิตไว้ตามแผนที่กำหนดไว้ของแหล่งที่มีอยู่ในปี 2560 จะอยู่ที่ 3.12 แสนบาร์เรล/วัน ปี 2561 จะอยู่ที่ 3.11 แสนบาร์เรล/วัน ปี 2562 จะอยู่ที่ 3 แสนบาร์เรล/วัน ปี 2563 จะอยู่ที่ 2.76 แสนบาร์เรล/วัน และปี 2564 จะอยู่ที่ 2.63 แสนบาร์เรล/วัน เป็นการทำสมมติฐานแบบอนุรักษนิยมว่าบริษัทไม่ได้รับสัมปทานแหล่งบงกชที่กำลังจะหมดอายุปี 2565-2566
“ราคาน้ำมันในช่วง 3-5 ปียังต้องจับตานโยบายต่างประเทศของสหรัฐ โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางจะเป็นอย่างไร รวมถึงการดำเนินนโยบายความสัมพันธ์กับจีนและรัสเซียรวมถึงภาพการเมืองของโลกในช่วงดังกล่าวด้วย ขณะที่ประเมินว่าแม้จะเริ่มเห็นราคาน้ำมันเป็นขาขึ้นแต่มองจะไม่เด้งขึ้นแบบแรงและเร็ว ปีนี้ให้ราคาเฉลี่ยน้ำมันที่ 49 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปีหน้าจะขยับเป็น 56 เหรียญสหรัฐ ปีถัดไปจะขยับเป็น 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนจากปัจจัยที่เปลี่ยนแปลง”
กลางปีนี้บริษัทภายในกลุ่ม ปตท.ทั้งหมดจะประชุมร่วมกันทำการประชุมแผนกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท. หรือ Strategic Thinking Session (STS) เพื่อกำหนดทิศทางธุรกิจ ก่อนที่จะทำแผนธุรกิจ 5 ปี ระหว่างปี 2561-2565 ในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้มีประเด็นที่บริษัทกำลังพิจารณากลยุทธ์ที่บริษัทให้ความสำคัญกับการลงทุนในแหล่งของภูมิภาคนี้ แต่สินทรัพย์ลงทุนไม่ได้มากเพราะหากย้อนไปช่วง 2 ปีที่ผ่านมาภาพรวมธุรกรรมลงทุนเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการที่เกิดขึ้นในโลกจะมีไม่มาก
บริษัทจะทบทวนการขยายเพิ่มขอบเขตการลงทุนออกไปนอกแหล่งภูมิภาคอาเซียน หากพิจารณาแล้วว่าการลงทุนในภูมิภาคมีข้อจำกัดว่าจะต้องไปลงทุนในประเทศหรือภูมิภาคใด รวมถึงการศึกษาพิจารณาการลงทุนในธุรกิจเชลออยล์หรือเชลแก๊สซึ่งยังไม่เคยลงทุนโดยสนใจลงทุนในสหรัฐ รวมถึงศึกษาโอกาสในธุรกิจพลังงานทดแทนซึ่งกำลังดูใน 3 เรื่อง คือ 1.พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจสำรวจและผลิต 2.หาธุรกิจที่ต่อยอดหรือเชื่อมโยงกับธุรกิจสำรวจและผลิต และ3.หาโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่โดยอาศัยความชำนาญเดิมของบริษัท