กนง. มีมติคงดอกเบี้ยที่ 2.50% หลังเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวตามคาด
กนง.เสียงแตก มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ต่อปี รอบที่ 5 นับตั้งแต่ 29 พ.ย.66 ประเมินดอกเบี้ยปัจจุบันสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ คาดเงินเฟ้อกลับสู่กรอบเป้าหมายช่วงปลายปี 67 ด้านกูรู ชี้มีโอกาสลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้
นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% หลังมองเศรษฐกิจไทย ในไตรมาส2ปี2567 เติบโตตามที่คาดไว้จากการท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่การส่งออกโดยรวมฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567 โดยกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ศักยภาพและการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้
อย่างไรก็ดี ต้องติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อภาวะการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่กรรมการ 1 ท่าน เห็นว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้น และจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ได้บ้าง
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ แม้แรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไปจะชะลอลงบ้างหลังขยายตัวดีในช่วงก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกสินค้าและภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยการส่งออกสินค้าบางกลุ่มยังถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง
ทั้งนี้ เศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วนยังฟื้นตัวแตกต่างกันโดยรายได้แรงงานในภาคการผลิตและผู้ประกอบอาชีพอิสระมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มอื่น ในระยะต่อไป ต้องติดตามความเสี่ยงด้านต่ำจากการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับลดลงกว่าที่ประเมินไว้ โดยราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มชะลอลงตามผลผลิตที่ขยายตัวดีจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ส่งผลให้แนวโน้มราคาหมวดพลังงานและอาหารสดไม่เร่งสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับอดีต ประกอบกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากสินค้านำเข้า ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับกรอบเป้าหมาย และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567 แต่ต้องติดตามการขยายมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ
ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นบ้าง โดยตลาดการเงินเคลื่อนไหวผันผวนจากมุมมองผู้ร่วมตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่า
โดยสินเชื่อในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์หดตัวส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ขณะที่สินเชื่อ SMEs หดตัวจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น ด้านสินเชื่อครัวเรือนชะลอลงและคุณภาพสินเชื่อปรับด้อยลงส่วนหนึ่งจากความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนกลุ่มเปราะบางที่ปรับลดลงจากรายได้ที่ฟื้นตัวช้า คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อต้นทุนการกู้ยืมและการขยายตัวของสินเชื่อในภาพรวม รวมถึงนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
คณะกรรมการฯ ตระหนักถึงปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs จึงสนับสนุนมาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เช่น มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ รวมทั้งยังสนับสนุนนโยบายของ ธปท. ที่ให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและมีส่วนช่วยให้กระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ (debt deleveraging) เกิดขึ้นต่อเนื่อง
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจและภาวะการเงินที่มีความเชื่อมโยงกัน โดยจะพิจารณานโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า กนง. คงดอกเบี้ยไว้ที่ 2.5% ต่อปี เป็นไปตามตาดคาด และมีโอกาสสูงที่ กนง.จะคงดอกเบี้ยระดับนี้จนถึงสิ้นปี เนื่องจาก กนง.มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจเข้าสู่ศักยภาพและเงินเฟ้อที่ปรับดีขึ้น รวมทั้งเอื้อต่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงินในระยะยาวแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทิศทางดอกเบี้ยหลายประเทศมีโอกาสเป็นขาลงตามการคาดการณ์ของ BLOOMBERG (FED ลด 3 ครั้ง, ECB ลด 2 ครั้ง, BOE ลด 1 ครั้ง) จึงทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและแรงในช่วงนี้ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในมุมการส่งออกได้
ทั้งนี้ หากพิจารณาในมุมของ BOND YIELD ไทย จะเห็นว่า YIELD CURVE ค่อยๆ ลดลง โดยครึ่งหลังปี 2567 BOND YIELD CURVE ลดลง 10-17 BPS และช่วงอายุ 1 ปี อยู่ระดับ 2.28% ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดให้ความหวังว่า กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยสัก 1 ครั้ง ในช่วงที่เหลือของปี 2567 ตามกลไก ทุกๆ BOND YIELD ที่ลดลง จะหนุนให้ SET ซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้นได้ โดยทุกๆ BOND YIELD ที่ลดลง 5 BPS หนุนให้ TARGET SET ขยับขึ้น 12 จุด
ประเด็นดังกล่าว จึงทำให้ตัวเลข MARKET EARNING YIELD GAP ปัจจุบันของ SET อยู่ที่ระดับ 4.31% (สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่อยู่ 3.9% และ อยู่สูงใกล้แตะระดับ +1SD.) จึงคาดหวังให้ FUND FLOW ต่างชาติกลับมาสนใจหุ้นไทยได้ไม่ยาก และเป็นตัวช่วยขยับมูลค่าซื้อขายรายวันให้กลับไปเท่าระดับเดิมในอดีต