posttoday

คาดการส่งออกรถยนต์ไทยปี 67 หดตัว 6% เสียส่วนแบ่งตลาดอาเซียนให้ EV จากจีน

26 ตุลาคม 2567

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดปริมาณการส่งออกรถยนต์รวมปี 2567 ติดลบ 6% เสียส่วนแบ่งกลุ่มรถยนต์นั่งในตลาดอาเซียน ให้กับ BEV จากจีน ไฮบริดจากญี่ปุ่น และรถนั่งเล็กจากอินโดนีเซีย หลังมาตรการรัฐหนุนและผู้ซื้อต้องการรถราคาประหยัด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 2567 นอกจากยอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวแรงแล้ว ยอดส่งออกรถยนต์ของไทยก็คาดว่าอาจหดตัวเช่นกันถึง 6% (YoY) เหลือส่งออกได้เพียง 1,050,000 คัน จาก 1,117,539 คันในปี 2566

โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากการส่งออกไปตลาดหลักอันดับ 2 ของไทยอย่างอาเซียนที่ลดลงมาก (ตลาดอาเซียนคิดเป็น 25% ของมูลค่าส่งออกรถยนต์ไทย) นำโดยการหดตัวสูงของการส่งออกรถยนต์นั่ง ซึ่งช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมาติดลบถึง 19% (YoY) ขณะที่รถเพื่อการพาณิชย์ส่งออกลดลง 3% (YoY)   

ทั้งนี้หลังผ่าน 7 เดือนแรกของปี 2567 มา พบว่าจีนและญี่ปุ่นขยับส่วนแบ่งขึ้นนำไทยได้เป็นครั้งแรก ขณะที่อินโดนีเซียแม้ยังมีส่วนแบ่งน้อยกว่า แต่ก็ขยับเข้ามาใกล้ไทยมากขึ้น                              

โดยคาดว่าจีนจะขึ้นอันดับ 1 แทนที่ไทยในตลาดอาเซียนปีนี้ หลังสามารถส่งออกรถยนต์นั่ง BEV ได้เพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ญี่ปุ่นขยับขึ้นอันดับ 2 นำโดยการส่งออกรถยนต์นั่งไฮบริด (HEV) อาศัยปัจจัยหนุนสำคัญจากมาตรการส่งเสริมรถยนต์ลดมลพิษของรัฐบาลแต่ละประเทศที่ออกมาในช่วงนี้ ส่งผลกดดันให้ไทยตกลงมาอยู่อันดับ 3 เนื่องจากไทยเพิ่งเริ่มผลิต BEV และแม้จะมีการผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดแล้ว แต่ที่ผลิตได้ก็เน้นรองรับตลาดในประเทศที่กำลังเติบโตขึ้นก่อน

ส่วนอินโดนีเซียแม้ปัจจุบันอยู่ในอันดับ 4 แต่พบการส่งออกรถยนต์นั่งขนาดเล็กใช้น้ำมันล้วน (ICE) ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่วนแบ่งขยับเข้าใกล้ไทยมากขึ้น หลังความต้องการรถยนต์นั่งขนาดเล็กหรือรถอเนกประสงค์ราคาประหยัดเพิ่มขึ้นมากในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ประชากรรายได้ยังไม่สูงนัก เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนาม  

 

อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไป การส่งออกรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด อาจเร่งขึ้นมาช่วยชดเชยได้ หลังไทยมีแนวโน้มผลิตรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด ในประเทศได้มากขึ้น จากการสนับสนุนของภาครัฐ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอีกหลายด้านที่การส่งออกรถยนต์นั่งไทยอาจต้องเผชิญในอนาคต ได้แก่

ความเสี่ยงฝั่งอุปทาน

•              ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯที่ยืดเยื้ออาจกดดันให้จีนยังคงต้องส่งออก BEV มายังตลาดเป้าหมายเดิมของไทยอย่างอาเซียนต่อ ทำให้การส่งออก BEV จากไทยในอนาคตยังคงต้องเจอการแข่งขันต่อไปอยู่

•              รถยนต์นั่งส่งออกจากญี่ปุ่นกำลังถูก BEV จีนเข้าตีตลาดในหลายประเทศ ทำให้ญี่ปุ่นต้องกระจายการส่งออกไฮบริดซึ่งเป็นตัวหลักออกไปยังหลายตลาดมากขึ้นรวมถึงอาเซียน เพื่อรักษาปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศ ทำให้โอกาสการลงทุนผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดในไทยปริมาณมากเพื่อการส่งออกในอนาคตยังมีความไม่แน่นอน

ความเสี่ยงฝั่งอุปสงค์

•              มาตรการส่งเสริมรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด ของตลาดศักยภาพอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ อาจหมดในสิ้นปีหน้า ทำให้โอกาสนำเข้า BEV และ ไฮบริด ของตลาดอาเซียนอาจไม่เร่งตัวมากเหมือนช่วงที่ผ่านมา แม้จะยังมีเวียดนามและฟิลิปปินส์ที่คงมาตรการส่งเสริมตลาดรถยนต์นั่ง 2 กลุ่มนี้ต่อถึงปี 2570 และ 2571 ตามลำดับ ก็ตาม

•              ค่ายรถ BEV ที่ลงทุนผลิตในไทยมีการลงทุนผลิตเพิ่มในอินโดนีเซียด้วยเพื่อรองรับตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทำให้โอกาสส่งออก BEV จากไทยไปอีกตลาดศักยภาพอย่างอินโดนีเซียลดน้อยลง รวมถึงไทยอาจเจอการแข่งขันจาก BEV ส่งออกจากอินโดนีเซียในอนาคตด้วย