posttoday

"พิชัย" มั่นใจเศรษฐกิจไทยปี68 โต 3.5% ลุยต่อแก้หนี้กลุ่มหนี้เสียเกิน 1 ปี

27 มกราคม 2568

พิชัย รมว.คลัง ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 68 โตไม่ต่ำกว่า 3-3.5% ลั่นลุยต่อสางหนี้กลุ่มมีหนี้เสียเกิน 1 ปี เล็งช่วยลดเงินต้น-ดอกเบี้ย ส่งสัญญาณธปท.หั่นดอกเบี้ย คุมเงินบาทช่วยไทยแข่งขันได้

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวว่า คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวได้อย่างต่ำ 3-3.5% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวอยู่ 2.6-2.7% ขณะที่จีดีพีไตรมาส4 ปี2567 คาดว่าเติบโตอยู่ที่ 3-5% หากไม่เจอปัญหาน้ำท่วมเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 3-5%  เนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงครี่งปีหลัง และผลจากรัฐบาลกระตุ้นเงินเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนขยับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ภาคการส่งออกขยายตัวอยู่ที่ 5.4% จำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้สูงถึง 39 ล้านคนขึ้น เป็นอันดับ 3 ของโลก ขณะที่ด้านการลงทุนภาคเอกชนนั้น รัฐบาลได้เร่งสร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งในปีที่ผ่านมา พบว่า มีนักลงทุนต่างชาติที่แสดงความสนใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตามวันนี้ ก็ยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือน จากอดีตมีระดับหนี้เคยสูงถึง 91% คาดว่าช่วงสิ้นปีนี้ระดับหนี้ครัวเรือนน่าจะลดลงได้ เช่นเดียวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ เอ็นพีแอล จากมาตรการที่ภาครัฐได้ดำเนินการไป เช่น โครงการคุณสู้ เราช่วย พักหนี้ให้กับกลุ่มที่ค้างชำระไม่เกิน 1 ปี - เว้นดอกเบี้ย 3 ปี ครอบคลุมลูกหนี้ 1.9 ล้านราย รวมยอดหนี้กว่า 8.9 แสนล้านลาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเปิดลงทะเบียนโครงการคุณสู้ เราช่วย ซึ่งจะดำเนินการถึงวันที่ 28 ก.พ. นี้ 


ทั้งนี้ ในระยะต่อไป มีแนวคิดที่จะแก้หนี้ให้กับกลุ่มที่มีหนี้เสียมากกว่า 1 ปีขึ้นไป ซึ่งกลุ่มนี้มีจำนวนมาก และแก้ได้ยาก จึงคิดว่าต้องใช้วิธีที่แตกต่างออกไป อย่างไรก็ตามต้องดูแนวโน้มเศรษฐกิจประกอบด้วย หากตัวเลขไตรมาส 4 ปี 2567 ออกมาดีก็นำเรื่องนี้ไปหารือกับสถาบันการเงิน

ตอนนี้ก็กำลังดูกลุ่มที่มีหนี้เสียเกินกว่า 1 ปี กลุ่มนี้มีจำนวนเยอะพอสมควร ตอนนี้อยู่ระหว่างรอดูตัวเลขจีดีพีไตมาส 4 ของสภาพัฒน์ฯประกาศตัวเลขจริงก่อนว่าจะเติบโตได้จริงมั้ย หากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวชัดเจนดี ก็ได้นำบรรยากาศนี้ไปหารือกับสถาบันการเงิน กลุ่มนี้ช่วยลดดอกเบี้ยคงไม่พอ อาจมีการพิจารณาตัดต้นให้ด้วยหรือไม่ ต้องรอดู โดยกลุ่มนี้แบงก์ได้มีการตั้งสำรองสงสัยหนี้จะสูญไว้แล้ว ถ้าแก้หนี้ได้ก็จะเป็นประโยชน์กับแบงก์ด้วย

สำหรับนโยบายการเงิน ยืนยันว่ายังอยากเห็นดอกเบี้ยที่ถูกลง เพราะประชาชนมีหนี้ทั้งระบบกว่า 16 ล้านล้านคน หนี้รัฐบาบอีกกว่า 10 ล้านล้านคน หากดอกเบี้ยลดลงก็จะช่วยได้เยอะ ที่สำคัญการส่งออก ก็ต้องเพิ่งอัตราแลกเปลี่ยนของไทยก็ต้องแข่งขันได้ ไม่เสียเปรียบไม่ควรมอบระยะสั้น เงินบาทต้องมีเสถียรภาพ แต่คนที่จะตัดสินใจเรื่องนี้คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนเรื่องอัตราเงินเฟ้อในปี 2567 ที่ออกมาถือว่าต่ำมาก ขยายตัวไม่ถึง 0.5% ผิดจากความจริงไปค่อนข้างเยอะ ซึ่งตรงนี้มองว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลซึ่งดูแลนโยบายการคลังที่จะต้องมาคุยกับผู้ดูแลนโยบายการเงิน เพื่อหาความเห็นหรือจุดสมดุลในการดูแลเรื่องดังกล่าวที่ใกล้เคียงกัน 

อยากเห็นอัตราดอกเบี้ยถูก เมืองไทยมีหนี้ทั้งระบบกว่า 16 ล้านล้านบาท หนี้รัฐบาลอีกกว่า 10 ล้านล้านบาท ถ้าลดไป1% หนี้จะลดไป 1 หมื่นล้าน 10 ล้านล้าน ก็ 1 แสนล้านบาท 20 ล้านล้าน ก็ 2 แสนล้าน ดังนั้นถ้าดอกเบี้ยลดลงก็ช่วยได้เยอะ ก็ได้แต่ภาวนาก็หวังว่าจะได้เห็นดอกเบี้ยลดลงไปอีก