ธนาคารแห่งประเทศไทย คว้ารางวัล "ธนาคารกลางแห่งปี 2568"
ธปท.คว้ารางวัล ธนาคารกลางแห่งปี 68 จาก Central Banking Publications ยกย่องการรักษาสมดุลอย่างชาญฉลาด ท่ามกลางความท้าทายศก.-อิสระจากการเมือง ในการบริหารนโยบายการเงิน
Central Banking Publications ซึ่งเป็นสื่อชั้นนำด้านธนาคารกลางระดับโลก ได้มอบรางวัล “ธนาคารกลางแห่งปี 2568” (Central Bank of The Year 2025) ให้กับ "ธนาคารแห่งประเทศไทย" (ธปท.) ในการมอบรางวัล Central Banking Awards ประจำปีนี้ เพื่อยกย่ององค์กรและบุคคลในแวดวงธนาคารกลางที่มีผลงานโดดเด่นด้านการดำเนินนโยบายการเงิน การกำกับดูแลทางการเงิน และการบริหารจัดการองค์กรในระดับสากล
สำหรับเหตุผลที่ธปท.ได้รับรางวัลนี้ ทางผู้จัดงานระบุว่า เป็นเพราะท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และเศรษฐกิจภายในที่เผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง ธปท. ได้ “รักษาสมดุลอย่างชาญฉลาด” ระหว่างการสนับสนุนเศรษฐกิจไปพร้อมกับมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพด้านราคาและการเงินในระยะยาว
แม้จะเผชิญแรงกดดันทางการเมือง แต่ธปท.ได้ “ปกป้องความเป็นอิสระ” ในการตัดสินนโยบายทางการเงิน ขณะเดียวกันก็นำการปฏิรูปในหลายมิติ เพื่อยกระดับภาคบริการทางการเงินของไทย ธปท. ยังคงยึดมั่นในเป้าหมายหลักนั่นคือ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ พร้อมกับเตรียมระบบการเงินให้พร้อมรับมือกับโลกอนาคต
ในช่วงปลายปี 2566 ธปท.ได้ปรับนโยบายการเงินให้กลับสู่สภาวะปกติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ 2.5% ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดแนวทางนโยบายการเงินหลังวิกฤติโควิด-19 ที่เน้นการปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป แตกต่างจากธนาคารกลางหลายแห่งที่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว
และในปี พ.ศ. 2567 ธปท. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยกลับสู่ระดับที่เป็นกลางโดยประมาณที่ 2.25% โดยในปัจจุบัน ธปท.ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% เป็น 2.00%
ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนกลยุทธ์ของธปท. คือ การประเมินอย่างรอบคอบว่า ภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในไทยนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยด้านอุปทานชั่วคราว ทำให้ธปท.สามารถมุ่งเน้นสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น
ในเวลานั้นมีผู้กังวลว่า ธปท.อาจประเมินสถานการณ์ในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ "ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์กับ Central Banking ในช่วงต้นปี 2566 โดยชี้ว่า ธปท.ได้ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดก่อนที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาด ซึ่งเร็วกว่าธนาคารกลางหลายแห่ง และยังเน้นย้ำถึง “ความเป็นไปได้ที่ต่ำ” ของการเกิดวงจรค่าจ้าง-ราคา (Wage-Price Spiral) ในไทย ทำให้ไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น
“นั่นคือเหตุผลที่เราคิดว่า แนวทางค่อยเป็นค่อยไปและวัดผลได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นสมเหตุสมผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเรากำลังเผชิญกับหนี้ครัวเรือนในระดับสูงด้วย” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าว
บรรดาผู้เชี่ยวชาญมองว่า แนวทางดังกล่าวช่วยให้การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับที่เป็นกลางเป็นไปอย่างราบรื่น และไม่เกิดการปรับขึ้นมากเกินความจำเป็น ซึ่งส่งผลให้การลดอัตราเงินเฟ้อในไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอัตราเงินเฟ้อลดลงจากจุดสูงสุด กลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน โดยไม่กระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
สิ่งที่โดดเด่นในแนวทางนโยบายของธปท. คือ การใช้เครื่องมือนโยบายเสริมอย่างสอดคล้องกัน เพื่อปรับสมดุลนโยบายทางเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่ามกลางระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง ธปท. ได้นำมาตรการทางการเงินแบบเฉพาะเจาะจงมาใช้ เพื่อรักษาเสถียรภาพและแก้ไขปัญหาเปราะบางในจุดต่างๆ
ยกตัวอย่างเช่น ธปท. ได้ดำเนิน “มาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม” ซึ่งกำหนดให้มีการปรับโครงสร้างหนี้สำหรับสินเชื่อรายย่อยที่ “มีความเสี่ยง” และ “มีปัญหา”
สำหรับการรักษาสภาพคล่องเชิงนโยบาย ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง และเสริมความยืดหยุ่นของธปท.ให้เข้ากับสภาวะเศรษฐกิจที่หลากหลาย สิ่งนี้มาพร้อมกับการสื่อสารที่สม่ำเสมอและชัดเจน โดยเน้นไปที่แนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต และลดการพึ่งพาข้อมูลระยะสั้นมากเกินไป ซึ่งธปท.จะมองข้ามความผันผวนระยะสั้น เพื่อให้แน่ใจว่านโยบายของตนจะไม่เพิ่มความผันผวนให้กับตลาดการเงิน