McKinsey มองไทยมีศักยภาพเข้าสู่สนามแข่งขันอุตสาหกรรมใหม่
McKinsey ชี้ไทยมีศักยภาพเข้าสู่สนามแข่งขันอุตสาหกรรมใหม่ แนะต้องพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจที่เหมาะสม ก้าวสู่ผู้เล่นในเวทีโลก ช่วงชิงโอกาสในตลาด 7-11 ล้านล้านดอลลาร์
คริส แบรดลีย์ (Chris Bradley) หุ้นส่วนอาวุโสจาก McKinsey & Company และผู้อำนวยการ McKinsey Global Institute (MGI) กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “The Next Big Arenas of Competition” ในงาน “The World's Next Opportunity and Beyond” ที่จัดขึ้นโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC ร่วมกับ เนชั่น กรุ๊ป ว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด ประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 70 ล้านคน จีดีพีต่อหัวสูงขึ้นถึง 7 เท่า ความยากจนลดลงเหลือเพียง 6% ระบบการศึกษาได้รับการพัฒนา และอุตสาหกรรมดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญ เทียบกับปี 1975 ประเทศไทยมีประชากรเพียง 40 ล้านคน จีดีพีต่อหัวต่ำ การศึกษายังไม่แพร่หลาย และอุตสาหกรรมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
เช่นเดียวกับในระดับอาเซียน มีการเติบโตและก้าวหน้า โดยปัจจุบันมีประชากรกว่า 600 ล้านคน และมีบทบาทสำคัญมากขึ้น จากที่เคยมีส่วนแบ่งเศรษฐกิจโลกเพียงเล็กน้อย ส่วนประเทศไทยอยู่ในยุคใหม่ที่มีโอกาสมากมาย แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทาย
“เมื่อเปรียบเทียบกับปี 1975 ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และโครงสร้างประชากรศาสตร์เปลี่ยนไป ปัจจุบันอัตราการเกิดอยู่ที่ 1.5 และเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นประเทศไทยต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และพัฒนาทักษะของบุคลากร รวมถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจ” แบรดลีย์ กล่าว
แบรดลีย์ ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจระดับโลก โดยในปี 2005 บริษัทชั้นนำระดับโลก 10 อันดับแรก ประกอบด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น น้ำมัน การค้า และธนาคาร เป็นต้น แต่ในปี 2025 ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น ซอฟต์แวร์ คลาวด์ รถยนต์ไฟฟ้า และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นสนามการแข่งขันใหม่
“9 ใน 10 บริษัทถูกแทนที่ด้วยยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงกว่าเดิมถึง 10 เท่า โดยเฉลี่ยมีมูลค่าตลาด 2 ล้านล้านดอลลาร์ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาเติบโต คือ การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาจำนวนมหาศาล และเป็นปัจจัยสำคัญของการแข่งขัน” แบรดลีย์ กล่าว
ทั้งนี้ หากพิจารณาสนามการแข่งขันในปัจจุบัน สัดส่วน 80% ของตลาดถูกครอบครองโดยสหรัฐฯ และจีน ขณะที่ยุโรป มีเพียง 10% ส่วนอาเซียน มีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของสนามการแข่งขันในอุตสาหกรรมใหม่
ดังนั้น หากประเทศไทยต้องการเข้าสู่สนามการแข่งขันใหม่ ต้องมีแนวทางที่แตกต่างจากในปัจจุบันที่บริษัทไทยส่วนใหญ่ยังคงเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่รัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ที่มีบริษัทเทคโนโลยีเกิดใหม่ขึ้นจำนวนมาก
แบรดลีย์ เชื่อว่าประเทศไทย และอาเซียน มีโอกาสอยู่ใน 6 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว ซึ่งมีรายได้ 7-11 ล้านล้านดอลลาร์ และกำไรทั่วโลกถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ และอีก 7 กลุ่มที่เป็นอุตสาหกรรมใกล้เคียง ซึ่งสามารถต่อยอดได้ โดยแบ่งอุตสาหกรรมในอนาคตที่ประเทศไทยอาจเข้าไปแข่งขันได้เป็น 3 โซน ได้แก่
โซนที่ 1 ความสามารถในการแข่งขันได้มากที่สุด คือ อีคอมเมิร์ซ โฆษณาดิจิทัล วิดีโอเกม การก่อสร้างแบบแยกส่วน (Modular Construction) ซิมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า
โซนที่ 2 คือ ความสามารถในการแข่งขันปานกลาง คือ สตรีมมิ่งวิดีโอ การขนส่งทางอากาศ หุ่นยนต์ คลาวด์เซอร์วิส และเทคโนโลยีอวกาศ
โซนที่ 3 คือ ความสามารถในการแข่งขันน้อยที่สุด คือ เอไอและซอฟต์แวร์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไบโอเทค ยาสำหรับโรคอ้วน และโรคที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมนิวเคลียร์
อาเซียนยังคงมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ และเศรษฐกิจดิจิทัล จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และอินโดนีเซีย มีศักยภาพด้านแบตเตอรี่ ขณะที่เวียดนามกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณว่าประเทศไทยและอาเซียนสามารถเข้าสู่สนามแข่งขันใหม่ได้ มีทั้งความต้องการของตลาดและซัพพลายที่ดี แต่ต้องอาศัยการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจที่เหมาะสม ก็สามารถเป็นผู้เล่นหลักในเวทีโลกได้
แบรดลีย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไทยต้องไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องแสวงหาโอกาสใหม่ และเป็นผู้นำในการกำหนดอนาคตของตนเอง
“สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ 1.โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่เราไม่ควรหวาดกลัว 2.เราต้องเปิดใจและค้นหาโอกาสใหม่ๆ และ 3.เราต้องสร้างอนาคตของเราเอง ขอให้ทุกคนคิดถึงอนาคตของประเทศไทยในอีก 50 ปีข้างหน้า และมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในสนามแข่งขันใหม่” แบรดลีย์ กล่าว