ตีค่าดีแทคเพิ่ม
โบรกเกอร์ต่างชาติไทย ยังคงเชียร์ซื้อหุ้น DTAC เพิ่มเป้าราคาหุ้นและกำไร ห่วงกฎเกณฑ์ธุรกิจสื่อสารในไทยเป็นปัญหาใหญ่ต่อการแข่งขัน
โบรกเกอร์ต่างชาติไทย ยังคงเชียร์ซื้อหุ้น DTAC เพิ่มเป้าราคาหุ้นและกำไร ห่วงกฎเกณฑ์ธุรกิจสื่อสารในไทยเป็นปัญหาใหญ่ต่อการแข่งขัน
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เครดิตสวิส และ บล.มอร์แกน สแตนเลย์ คงน้ำหนักปกติ และมากกว่าตลาด ตามลำดับ สำหรับหุ้นบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC)
บล.เครดิตสวิส ให้ความเห็นว่ารายได้จากค่าบริการอินเทอร์เน็ตก่อนเชื่อมโยงโครงข่ายของ DTAC ไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 5.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามเศรษฐกิจประเทศไทยที่ฟื้นตัว โดยมาจากการให้บริการสมาร์ตโฟน และการเติบโตของข้อมูล
นอกจากนั้น บริษัทนี้ยังสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ทำให้อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มขึ้น 9.1% จากไตรมาส 4 ปี 2553 และ 19.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าต้องเสียภาษีรายได้นิติบุคคลเต็ม 30% แต่ยังสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาส 4 ปี 2553 และ 36.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
บล.เครดิตสวิส ปรับประมาณการรายได้ปีนี้และ EBITDA รวมถึงกำไรสุทธิของ DTAC เพิ่มขึ้น 1.4% 2.4% และ 4.5% และคาดว่าจะมีกระแสเงินสดอิสระเพิ่มเป็น 1.8 หมื่นล้านบาท ทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มเป็นหุ้นละ 50 บาท
“เราไม่เชื่อว่า DTAC จะทำธุรกิจนี้ได้ดีกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในตลาดเมืองไทย เนื่องมาจากกฎเกณฑ์จากธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคมของไทย”
ขณะที่ บล.มอร์แกน สแตนเลย์ ประเมินว่า DTAC มีความสามารถในการทำกำไรไตรมาสแรกปีนี้มากกว่าที่คาดไว้ 716% จากอัตรากำไรที่ทำได้ดี รวมถึงการคุมต้นทุน และคาดว่าทั้งปีจะทำได้ดีกว่าที่คาด
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น DTAC หลังปรับราคาหุ้นที่เหมาะสมเพิ่มขึ้นจาก 57 บาท เป็น 60 บาท และคาดจ่ายเงินปันผลในอัตรา 4.61 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนถึง 9.7% หลังหุ้นกู้ที่กำหนดเพดานการจ่ายปันผลของบริษัทไว้ไม่เกิน 70% ของกำไรสุทธิ ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือน ส.ค. 2554
“เราปรับประมาณการกำไรปี 2554-2555 เพิ่มขึ้นจากเดิม 5% ด้วยฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น 4% สะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่งในไตรมาสแรกปีนี้ ขณะที่ปรับลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารยอดขาย ลงจากประมาณการเดิมซึ่งอยู่ที่ 16% เหลือ 15% เพื่อสะท้อนประสิทธิภาพในการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าคาด”
สำหรับกำไรในงวดไตรมาส 2 มีแนวโน้มชะลอลง เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซันของธุรกิจ และในปลายงวดไตรมาส 3 บริษัทจะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ บริษัท กสท โทรคมนาคม ในอัตรา 30% จาก 25% ตามสัญญาสัมปทาน แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในประมาณการแล้ว
ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกบริษัทมีกำไรปกติ 3,200 ล้านบาท ไม่รวมอัตราแลกเปลี่ยน ดีกว่าคาด โดยมีสัดส่วนถึง 33% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2554 สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายและบริการ 1.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% สูงกว่าคาด เพราะมีฐานลูกค้าใหม่ และมียอดขายอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่สูง ขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลงจาก 16.7% เหลือเพียง 13.9% ต่ำกว่าคาด เนื่องจากมีการใช้งบการตลาด รวมทั้งการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญน้อยลง
ผู้บริหารปรับเพิ่มประมาณการรายได้ว่าจะเติบโตมากกว่า 5% จากเดิมคาดไว้ 5% จากปีก่อน และกระแสเงินสด 1.8 หมื่นล้านบาท เป้าเดิม 1.7 หมื่นล้านบาท และ EBITDA 2.42.5 หมื่นล้านบาท เทียบเป้าเดิม 2.32.4 หมื่นล้านบาท