'กรณ์' ถาม 'ซื้อหนี้' ถ้าธนาคารเจรจาลูกหนี้ไม่ได้ รัฐจะทำสำเร็จ?
กรณ์ จาติกวณิช ร่าย 5 ประเด็นรัฐต้องชัดเจน 'ซื้อหนี้' ถามถ้าธนาคารทำไม่สำเร็จ รัฐจะทำให้สำเร็จอย่างไร? อีกทั้งยังต้องระวังเรื่องทุจริต
หลังจากวันที่ 19 มีนาคม กรณ์ จาติกวณิช ได้โพสให้ความเห็นในประเด็น 'การซื้อหนี้ประชาชน' ว่าเป็นเรื่องที่เห็นด้วย แต่มีประเด็นที่ต้องช่วยกันคิดเพื่อหาหนทางที่มีหลักอธิบายได้ และไม่เป็นประชานิยมจนเกินไป อีกทั้งยังไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนให้แก่กลุ่มทุน
ล่าสุด กรณ์ จาติกวณิช ได้โพสต์ความเห็นเพิ่มเติมในกรณีดังกล่าว โดยย้ำให้รัฐต้องชัดเจนใน 5 ประเด็นสำคัญ
" จากที่ผมได้เสนอแนวคิดเรื่องซื้อหนี้ ได้รับ feedback กลับมาเยอะ ขอบคุณทุกคนครับ ถือว่าช่วยกันคิด
จาก feedback ที่ได้รับ ประเด็นที่ผมมองว่าต้องมีความชัดเจน หากจะเดินหน้าโครงการนี้คือ
1. การช่วยลูกหนี้จะจบที่การลดหนี้อย่างเดียวไม่ได้ สำคัญที่สุดคือการให้ความรู้เป็นภูมิคุ้มกัน
2. เพื่อความเป็นธรรม ควรต้องมีมาตรการที่ให้รางวัลลูกหนี้ดีที่จ่ายดอกจ่ายต้นสม่ำเสมอด้วย
3. เราต้องมองธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ว่าเป็น rational agent คือถ้าเขาเจรจากับลูกหนี้ได้ เขาต้องเจรจาไปแล้ว ดังนั้นการโอนหนี้ไปให้รัฐจะช่วยให้เจรจากับลูกหนี้สำเร็จได้อย่างไร?
4. ธนาคารไม่ได้ตั้งสำรองเป็นศูนย์ในทุกกรณี ดังนั้นเวลาเหมาซื้อจะสมมติว่าสำรองหมดแล้วทุกกรณีไม่ได้ (อันนี้เป็นมุมกังวลของนายแบงค์)
5. เมื่อโอนไปให้หน่วยงานรัฐดูแล ต้องระมัดระวังเรื่องทุจริต ในอดีตบรรษัทซื้อหนี้ของรัฐเคยมีปัญหาแนวนี้"
ก่อนหน้านี้ กรณ์ ได้เคยออกความเห็นในสิ่งที่รัฐ ควรทำ และไม่ควรทำ และข้อเสียที่ควรจะพิจารณา ซึ่งมีสาระสำคัญตอนหนึ่ง ดังนี้
" การโยกหนี้จากบัญชีธนาคารไปอยู่ในบัญชีรัฐทำได้ครับ และหากทำถูกวิธีก็เป็นเรื่องที่ควรทำด้วย ส่วนอดีตนายกฯ จะทำแบบที่ผมคิดหรือไม่ผมไม่แน่ใจ ผมขอลองเสนอวิธีของผมแล้วกัน (ไม่ได้คิดเองทั้งหมด แต่คุยกับเพื่อนร่วมคิดหลายคน)
อันดับแรก : 2 อย่างที่ ไม่ควรทำ
1. ไม่ควรซื้อหนี้เสียทั้งหมด - เพราะต้องใช้เงินเยอะไป และ moral hazard มากเกินไป
2. ไม่ควรเอาผู้บริหารหนี้เอกชนมาเกี่ยวข้อง - เพราะจะมีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนมาเกี่ยวข้องกับการใช้เงินรัฐ
คราวนี้สิ่งที่ควรทำ
1. หนี้เสียในระบบบูโรตอนนี้มี ทั้งหมด 1.22 ล้านล้านบาท เป็นของลูกหนี้ 9.5 ล้านบัญชี รวม 5.4 ล้านคน - อย่างที่บอก เราไม่ควรซื้อหนี้ทั้งหมดนี้
2. รัฐควรขีดเส้นการช่วยเหลือที่ลูกหนี้ที่มีหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน ซึ่งจะครอบคลุม 3.5 ล้านคน หรือ 65% ของลูกหนี้เสียทั้งหมด!
3. ตามนี้ วงเงินหนี้เสียรวมที่รัฐจะดูแลจะเหลือเพียงประมาณ 120,000 ล้านบาท หรือ 10% ของหนี้เสียโดยรวม
4. พูดง่ายๆ คือเราช่วยคนเล็กคนน้อยเท่านั้น ขาใหญ่มีวิธีอื่นที่ช่วยได้ เดี๋ยวค่อยว่ากัน
5. แหล่งที่มาของเงินคือ เราสามารถใช้เงินเหลือจาก FIDF ได้ เพราะรัฐได้มีมาตรการลดภาระการจ่ายเข้ากองทุนโดยธนาคารพาณิชย์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง เท่ากับปีละ 70,000 ล้าน
6. รัฐควรใช้ AMC ของรัฐที่มีอยู่แล้วคือ SAM (กำกับดูแลโดยแบงค์ชาติ) ซื้อหนี้ส่วนนี้ออกมาจากธนาคารพานิชย์ ราคาตามราคาตลาดปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5-7% ของวงเงินหนี้
7. ส่วนนี้จะเป็นกำไรของธนาคารพาณิชย์เพราะทุกธนาคารได้สำรองหนี้เสียไว้เต็ม 100% แล้วตามเงื่อนไขแบงก์ชาติ
8. หาก SAM ซื้อหนี้ตามราคานี้ วงเงินที่ต้องใช้จริงคือไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท
9. จากนั้น SAM ควรตั้งเงื่อนไขให้ลูกหนี้ชำระหนี้ในราคาตีซัก 10-15% ของหนี้เดิม แลกกับการเคลียร์ประวัติในเครดิตบูโร - ลูกหนี้จะเหมือนได้เกิดใหม่ทันที กำไร (หากมี) ปันส่วนกลับไปให้ธนาคารพาณิชย์บางส่วนได้
10. ทั้งหมดนี้ต้องมีแบงก์ชาติเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อความเชื่อมั่น และเพราะมีการใช้หน่วยงานในสังกัด
ด้วยวิธีนี้ รัฐไม่ได้ใช้เงินภาษี (จริงๆก็คือใช้เงินของธนาคารพาณิย์ที่จ่ายให้ FIDF นั่นแหละ) และจำนวนลูกหนี้ที่ติดบูโรในกลุ่มที่เปราะบางที่สุดได้ประโยชน์ถึง 3 ล้านกว่าคน
ข้อเสียคืออะไร?
1. ประเด็น moral hazard - การช่วยทุกกรณีมี moral hazard แต่กรณีนี้ผมได้เสนอให้ช่วยลูกหนี้รายเล็กที่สุดเท่านั้น
2. ความเสี่ยงต่อกองทุนฟื้นฟู - อันนี้ขึ้นอยู่กับราคาที่ซื้อหนี้มาจากธนาคารพาณิย์ แต่หากซื้อที่ไม่เกิน 5-7% ผมว่าความเสี่ยงอยู่ในระดับที่รับได้
3. ลูกหนี้อาจจะยังไม่พ้นบ่วงหนี้ เพราะหากเป็นหนี้เสียกับธนาคารพาณิชย์อยู่ ผมมั่นใจว่าคงจะมีหนี้นอกระบบอยู่ด้วยอีกไม่มากก็น้อย