posttoday

ผู้ถือหุ้น MTC เคาะจ่ายปันผล 0.95 บาท/หุ้น ขึ้น XD 27 เม.ย.นี้

19 เมษายน 2566

ผู้ถือหุ้น MTC อนุมัติจ่ายปันผลงวดปี 65 ในอัตรา 0.95 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 27 เม.ย. รับเงิน 17 พ.ค.นี้ มั่นใจปี 66 พอร์ตสินเชื่อโต 20% ตามนัด วางเป้าภายในปี 69 พอร์ตสินเชื่อพุ่งแตะ 2 แสนล้านบาท

นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2566 มีมติอนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสดจากงวดผลการดำเนินงานในปี 2565 (ม.ค.-ธ.ค. 2565) ในอัตรา 0.95 บาท/หุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 27 เม.ย.2566 และจ่ายปันผลวันที่ 17 พ.ค.2566 

“ถึงแม้อุตสาหกรรมการปล่อยสินเชื่อรายย่อยเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ที่มีผู้เล่นหลายรายอยู่แล้ว ในปี 2565 การปล่อยสินเชื่อในตลาดนี้ยังคงมีผู้เล่นใหม่เข้ามาแข่งขันมากขึ้น รวมทั้งดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น MTC ได้ปรับกลยุทธ์และแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทำให้ปี 2565 มีสินเชื่อคงค้าง 120,613 ล้านบาท เติบโต 31.37% เทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่รายได้รวม 20,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.28% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น3.00% เทียบปีที่ผ่านมา” นายปริทัศน์ กล่าว 

ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานของ MTC ในปี 2566 ตั้งเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อเติบโต 20% พร้อมเดินหน้าพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เพื่อส่งมอบการบริการที่ดีแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิผลโครงการคลินิกแก้หนี้ที่มีอยู่ เพื่อให้คำปรึกษาและสร้างวัฒนธรรมทางการเงินที่ดี รวมถึงจัดทำแผนการบริหารหนี้เสีย และติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น 

นอกจากนี้ MTC มีแผนขยายสาขาเพิ่ม 600 แห่ง ในปี 2566 รวมเป็น 7,200 สาขาทั่วประเทศ รองรับความต้องการของลูกค้าในระดับฐานรากที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน

ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับแผนการปล่อยสินเชื่อในปี 2566 ที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เทียบปีที่ผ่านมา บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้วงเงินประมาณ 25,000 ล้านบาท อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนสินเชื่อทั้งจากสถาบันการเงินในประเทศไทยและสถาบันการเงินในต่างประเทศอีกด้วย เพื่อไปสู่เป้าหมายภายในปี 2569 พอร์ตสินเชื่อแตะที่ระดับ200,000 ล้านบาท โดยเน้นการทำตลาดกับลูกค้าเดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดี และการรุกขยายฐานลูกค้าใหม่ที่มีความต้องการใช้บริการสินเชื่อมากขึ้น สนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต