posttoday

SET ยังมี Upside ในระยะสั้นที่จํากัด ชู AOT และ BCH น่าสนใจ

30 พฤษภาคม 2566

SET ยังมี Upside ในระยะสั้นที่จํากัด โดยมีแนวต้านที่ 1,546 จุด ซึ่งหากไม่ผ่าน คาดว่าดัชนีจะกลับมาแกว่งในกรอบเดิมระหว่าง 1,530-1,542 จุด กลยุทธ์การลงทุน “Selective Buy” แนะนำ AOT และ BCH

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ประเมินว่า SET ขึ้นมาทรงตัวแถวกรอบบนบริเวณ 1,540 จุดแต่วอลุ่มเบาบาง ทําให้มองดัชนียังมี Upside ในระยะสั้นที่จํากัด โดยมีแนวต้านที่ 1,546 จุด ซึ่งหากไม่ผ่าน คาดว่าดัชนีจะกลับมาแกว่งในกรอบเดิมระหว่าง 1,530-1,542 จุด ส่วนกรณีขึ้นทะลุ 1,546 จุด เป็นสัญญาณบวกต่อ และมีแนวต้านถัดไปที่ 1,555 จุด

ทั้งนี้ มอง SET ยังเคลื่อนไหวผันผวนและแกว่งตัวในกรอบ โดยแม้การขยายเพดานหนี้ของสหรัฐจะได้ข้อสรุป ซึ่งเป็น Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย และการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. มองจะมีโอกาสสูงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 25 bps ตามตลาดคาด 

อย่างไรก็ตาม ประเมิน SET จะยังคงมี Upside จำกัด เนื่องจากตลาดยังคงจับตาเสถียรภาพในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทย สถานการณ์การระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ในจีน และการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในยุโรป ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ "Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

1. หุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัดจาก MOU 23 ข้อ ที่ 8 พรรคการเมืองร่วมลงนาม เลือก BBL KTB KBANK HMPRO GLOBAL BCH CHG SPRC STANLY AH ONEE HTC TNP

2. หุ้นที่ INVX Research มีการปรับเพิ่ม Rating และ/หรือ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย เลือก KKP BJC OSP

3. สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ซึ่งต้องการเก็งกำไรระยะสั้นในประเด็นการเจรจาเพดานหนี้สหรัฐได้ข้อสรุปแนะนำ DELTA PTTEP BCP

ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับหุ้นที่มีความเสี่ยงหรือปัจจัยลบกดดันราคาหุ้น ดังนี้ 

1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่

2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัย จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ กลุ่ม ขนส่งพัสดุ(KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU AU CENTEL) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH SIRI QH AP) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA KCE) 

3) หุ้นที่ราคาขึ้นมาสูงกว่าโควิด-19 และเราแนะนำ Underperform เลือก AAV SAWAD MST NRF

สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ AOT ปี 2566 (ต.ค.2565-ก.ย.2566) คาดผลประกอบการจะฟื้นตัวกลับมามีกำไร 1.5 หมื่นล้านบาท โดยกำไรจะเร่งตัวขึ้นในระยะถัดไป ด้วยแรงหนุนจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เติบโตเพิ่มขึ้นและการกลับมาเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ

BCH มองกำไรปกติจะดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 2566 (+HoH) และจะเริ่มเห็นการเติบโต YoY ในไตรมาส 4/2566 ขณะที่ผลตอบแทนน่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยง หลังราคาหุ้นปรับลงมาแล้ว 19% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จนปัจจุบันเทรดที่ระดับ -2SD ของ PE เฉลี่ยในอดีต