posttoday

เดือด! 4 กูรูเสียงแตก หุ้นไทย รุ่ง-ร่วง? จังหวะไหนน่าซื้อ

17 มิถุนายน 2566

เสียงแตก! 4 กูรูเห็นต่าง สถานการณ์โลก-เศรษฐกิจ-หุ้นไทย รุ่ง รึ ร่วง ? จังหวะไหนน่าซื้อ ? พร้อมเสิร์ฟ 20 หุ้น ซื้อเก็บ-เก็งกำไร-รอช้อน ?

นายกวี ชูกิจเกษม Head of Research and Content บล.พาย กล่าวในงานสัมมนา Investment Forum : New Chapter, New Opportunity หัวข้อ Panel Discussion : เบญจภาคี 5 หุ้นเด็ด ทำกำไร ว่า ตามที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(FOMC)ของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5-5.25% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ มองว่าเฟดทำตามหน้าที่ 

เฟดคงไม่บอกตรงๆว่าดอกเบี้ยสหรัฐควรมีทิศทางอย่างไร ไม่เหมือนนักวิเคราะห์จะต้องฟันธงว่าจะออกมาอย่างไร แม้เฟดจะออกมาพูดเหมือนกั๊กเพราะไม่อยากให้ตลาดคิดไปก่อนว่าดอกเบี้ยจะหยุดขึ้น มันมีความสำคัญนะว่าความรู้สึกของผู้บริโภคหรือนักลงทุนไม่ดีอาจจะเกิดการเก็งกำไรสินทรัพย์ เฟดไม่อยากที่จะให้ฟองสบู่มันเกิดจากคำพูดของเฟด พูดค่อนข้างระมัดระวังคำพูดพอสมควร

ถ้าเฟดบอกว่าเชื่อตลาด ต่อไปดอกเบี้ยจะไม่ขึ้น นักลงทุนก็จะลุยซื้อ ถ้าปล่อยให้ตลาดลุยก็จะกลายเป็นว่าสิ่งที่เฟดพยายามควบคุม เพราะอย่าลืมว่าตลาดหุ้นอเมริกาไม่เหมือนหุ้นไทย ด้วยความที่ 1.สภาพคล่องเยอะกว่า 2.นักลงทุนที่ลงทุนผ่านตลาดอเมริกาค่อนข้างเยอะกว่าไทยมาก ดังนั้นการที่ตลาดหุ้นอเมริกาขึ้นเยอะมันคือการเพิ่มความมั่งคั่งให้คนอเมริกาทางอ้อม ดังนั้นถ้าพูดอะไรที่ตลาดหุ้นขึ้น ดอกเบี้ยต้องหยุด อาจทำให้การดูแลเงินเฟ้อ หรือนโยบายการเงินอาจจะลำบากขึ้น

แต่หากวิเคราะห์แล้ว เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาวันนี้อาจดูเหมือนไม่ได้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจหดตัว แต่เชื่อว่ามีตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวมีหลายตัวแปรมากๆ ที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะหดตัวน้อยหรือมาก จะ Soft Landing หรือ Hard landing เท่านั้น มันจะจบง่ายๆขนาดที่ธนาคารพาณิชย์ล้มแล้วมาบอกว่าไม่มีอะไรแล้ว ทั้งๆที่ไส้ในธนาคารพาณิชย์ในอเมริกาหลายแห่งยังมีปัญหา เพราะวันนี้ยังมีเงินฝากไหลออกจากธนาคารคารพาณิชย์สหรัฐอเมริกาไหลเข้าตลาดเงิน และยังเห็นว่าธนาคารยังมีการควบคุมสินเชื่อหรือการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ SME และ Start Up หรือการปล่อยกู้พวกบัตรเครดิต 

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ อัตราการว่างงานสหรัฐฯอยู่ในระดับต่ำมาก ถือว่าดี แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงอัตราการว่างงานที่ต่ำนั้นกลับทำได้ยาก โอกาสที่จะทำให้อัตราการว่างงานต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ให้ลดลงไปมากกว่านี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะที่จีนมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ เริ่มมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แน่นอนว่าแม้จีนกับสหรัฐฯทะเลาะกันแค่ไหนก็มีการค้าขายกันต่อเนื่อง ดูจากตัวเลขส่งออกระหว่างจีนกับสหรัฐฯพึ่งพากันอย่างมหาศาล ดังนั้นถ้าจีนมีปัญหาสหรัฐฯก็จะมีปัญหาเช่นกัน วันนี้จะเห็นตัวเลขการส่งออกทั่วโลกลดลง ดุลการชำระเงิน ดุลการค้าของแต่ละประเทศเริ่มติดลบน้อยลง โลกของเราถ้าไม่รวมการท่องเที่ยว ภาคการผลิตแย่ลงเช่นกัน

ดังนั้น เศรษฐกิจของสหรัฐฯจะไปต่อกว่านี้มันยาก บวกเงินเฟ้อลงมาเร็วมาก อย่างเงินเฟ้อไทยลดลงมาจนจะเข้าเงินฝืด พอเงินเฟ้อลงต่ำในประเทศผู้ผลิต ฝั่งผู้บริโภคในสหรัฐฯก็จะลงตาม บวกราคาอสังหาฯในสหรัฐฯลดลงมากจะรอดหรือไม่ยังไม่รู้

ที่ผ่านมาจะเห็นว่าดัชนีหุ้น NASDAQ หรือ Dow Jones เพิ่มขึ้นต่อเรื่อง มาจากหุ้น 7 ตัว คือ NVIDIA (NVDA), หุ้น Microsoft (MSFT), Apple (AAPL) เป็นต้น ถ้าตัดออกไปหุ้นอเมริกาปีนี้ติดลบ แต่หุ้นบ้านเราเก่งกว่าเพราะขึ้นด้วย 1 ตัว หลวงพี่เดลต้าตัวเดียว ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯขึ้นแบบไม่มีคุณภาพ ถ้าให้ผมดูรอบนี้เหมือนช่วงวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์(subprime mortgage crisis) หรือ วิกฤติซับไพรม์ ปี 2008 ที่กลุ่มธนาคารมีปัญหา ซึ่งวันนี้ธนาคารมีปัญหาแต่ไม่หนักเท่า บวกกับวิกฤตหุ้นเทคโนโลยี(วิกฤต Dot-Com) ที่เกิดฟองสบู่ในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี

ถามว่า เว็บไซต์วันนี้ยังเป็นอนาคตหรือไม่ก็ยังถือว่าเป็นอนาคต เช่นเดียวกับ AI ที่วันนี้ยังเป็นอนาคต แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทุ่มลงทุนหรือซื้อในราคาที่แพงแบบนี้ เช่นเดียวกันเราทราบว่าอีก 10 ปีข้างหน้า AI อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกบริษัทหรือทุกสตาร์ทอัพจะดี ต้องมีบริษัทที่มีปัญหา เราก็ต้องระมัดระวังว่ามีฟองสบู่ดอทคอม เรามีปัญหาด้านการเงิน และกำลังจะมีปัญหาด้านอสังหาฯในสหรัฐฯ รวมปัญหาการบริโภคเศรษฐกิจโลก โดยรวมแล้วดอกเบี้ยสหรัฐฯน่าจะยืนระดับนี้อีก 7-8 เดือนจะไม่ขึ้นแล้ว 

"ถ้าดอกเบี้ยพีคระดับนี้ หุ้นจะขึ้นในช่วงที่ดอกเบี้ยแตะจุดสูงสุดและหุ้นจะลงช่วงที่ดอกเบี้ยลดลง ตามมาด้วยเศรษฐกิจชะลอ ไม่มีพระเอกคนไหนที่จะบอกตัวเลขชัดเจนได้ดีเท่าเศรษฐกิจ หาก GDPลงสักวันหุ้นก็จะลง เศรษฐกิจลงจะทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง วันนี้กำไรของบริษัทในสหรัฐฯประกาศมาติดลบ แต่หุ้นไม่ลง แสดงว่าหุ้นจะแพงขึ้นเรื่อยๆ บ่งบอกถึงความไม่มีเสถียรภาพ ย้ำอีกครั้งว่าดอกเบี้ยขึ้นหุ้นขึ้น ดอกเบี้ยทรงหุ้นไซด์เวย์ ดอกเบี้ยลงหุ้นลงตามเศรษฐกิจที่แย่ลง ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาผมบอกแล้วว่าดัชนีจะลงไป 1,400 เราทราบว่ามีความเสี่ยงขาลง (Downside Risk)ที่จะเกิดขึ้นในปลายปี 66 หรือในช่วงต้นปี 67"

เมินธีม Global play

สำหรับหุ้นไทยเป็นอีกสตอรี่ เชื่อว่าหุ้นกลุ่ม Global play ที่พูดถึงคือกลุ่มพลังงาน ถามว่าแพงหรือไม่? วันนี้เชื่อว่าไม่แพง เข้าขั้นถูก ติดลบ -2SD คำถามคือประเทศไทยอยู่ใน Position ที่คุณจะมาซื้อกลุ่มพลังงานของฟันด์โฟลว์ต่างประเทศหรือไม่? หุ้น PTT , PTTEP , TOP , PTTGC เป็นบริษัทเล็กมากๆเมื่อเทียบกับบริษัทระดับโลก หากผมจะเล่น Global Play ผมจะซื้อหุ้นบริษัท ออกซิเดนทัล ปิโตรเลียม คอร์ป ทำธุรกิจน้ำมัน(OXY) , หุ้น Chevron Corp (CVX)  วันนี้ไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นบริษัทพลังงานในประเทศไทยอีกแล้ว มันไม่โต มันไม่มีประโยชน์ที่จะซื้อ เพราะไม่รู้ว่าแก๊สจะหมดเมื่อไหร่ พลังงานฟอสซิลที่ได้รับความนิยมน้อยลง แต่ถามว่าในระยะสั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการเล่นเก็งกำไรถือว่าเป็นไปได้ แต่ถ้าถือรอบระยะกลางเพื่อขึ้นรอบยาวๆ ผมไม่มองพลังงาน หรือปิโตรเคมีในประเทศไทย

จับตา รัฐสวัสดิการ-ภาษี?

ส่วนนโยบายรัฐบาลใหม่ ส่วนตัวไม่กลัวว่าพรรคไหนจะขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล ผมเชื่อว่านโยบายที่พูดมา 90% จะทำไม่ได้ เพราะแต่ละพรรคมีแผนจะใช้เงินทำโน่นนี่นั่น ใช้งบประมาณหลายพันล้าน แต่คำถามคือเก็บเงินได้แค่ไหน? วันนี้ขนาดเรายังไม่ได้ใช้เงินตามนโยบาย ยังขาดดุลงบประมาณ 6-7 แสนล้านต่อปีที่ยังต้องกู้เงินมาใช้ กู้เงินเฉลี่ย 3 แสนล้านบาทต่อปี ถ้าไม่เก็บเพิ่มก็ต้องกู้เงิน

แล้วจะเก็บเงินเพิ่มจากไหน? รัฐสวัสดิการไทย(welfare state)ที่รัฐบาลจะรับผิดชอบเรื่องการใช้ชีวิตพื้นฐานให้คนสามารถที่จะอยู่ มีชีวิตและสร้างโอกาสใช้ชีวิตได้จะเก็บภาษีอย่างไร อาทิ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก หรือ ประเทศในยุโรป เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax) ราว 20-30% แต่ประเทศไทยมีคนทำงาน 40 ล้านคน เก็บภาษีได้เพียง 11 ล้านคนเท่านั้น ดังนั้นเหลือภาษีเดียวที่จะเก็บเพิ่มขึ้นได้ คือ VAT บางประเทศเก็บ VAT 20% แต่ไทยเก็บภาษี VAT เพียง 7% ซึ่งต้องมาดูว่ารัฐบาลจะกล้าขึ้นภาษี VAT หรือไม่ ? ถ้าไม่กล้าก็จะขาดดุลงบประมาณต่อไป แต่หากประเทศไทยจะเป็นรัฐสวัสดิการต่อไป ผมบอกได้เลยว่าจะเป็นเหมือนกรีซ, โปรตุเกส, สเปน, อิตาลี 

เชียร์ BDMS-MINT-AAV-BAFS-KTB

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย วันนี้หากมองว่า ถ้าหุ้นลงจะซื้ออะไร? ผมก็จะไม่ซื้อกลุ่มพลังงานเพราะไม่ใช่จุดที่ควรจะต้องซื้อ และไม่ได้อยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่จะซื้อ แต่หุ้นที่แนะนำคือ หุ้น BDMS ราคาเหมาะสม 34 บาท, MINT ราคาเหมาะสม 42 บาท, AAV ราคาเหมาะสม 3.88 บาท, BAFS ราคาเหมาะสม 39 บาท, KTB ราคาเหมาะสม 21.40 บาท และ CPALL ราคาเหมาะสม 72 บาท

อย่างไรก็ดี มองว่าหุ้นมี Downside ตลาดหุ้นไทย พี/อีไม่สูง 14-15 เท่า ถ้าไม่นับรวม DELTA และ AOT ที่มีพี/อีกว่า 100 เท่า ซึ่ง AOT พอเข้าใจได้ว่ากำไรเพิ่งฟื้น ส่วนเดลต้าขึ้นจากอะไร อันนี้ไม่เข้าใจ ถ้าตัด 2 ตัวนี้ไปดูกลุ่มธนาคาร พี/อีต่ำ บุคต่ำ ปันผลสูง PBVต่ำ กลุ่มค้าปลีกยังไม่ขึ้น กลุ่มท่องเที่ยวยังไม่ขึ้น มีขึ้นตัวเดียวคือ CENTEL ส่วน MINT ยังไม่ขึ้น กลุ่มอสังหาฯเข้าธีมพี/อีต่ำ บุคต่ำ ปันผลสูง PBVต่ำ กลุ่มโรงพยาบาลดี ถ้าเราผ่านวิกฤติรอบนี้ไปได้มันจะรันยาว ดังนั้นไม่ต้องกลัว 

"หลังจากโควิด-19ตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นมาค่อนข้างเยอะ ยุโรปแม้มีปัญหาเศรษฐกิจก็ยังไต่เต้าขึ้นมา ผม VI จะไม่ซื้อหุ้นที่ขึ้น หุ้นจะลงในช่วง เศรษฐกิจแย่ ผมไม่กังวลว่าดอกเบี้ยจะขึ้นแค่ไหน แต่วันนี้รู้สึกว่าจะรอหาโอกาสที่จะหาช้อปหุ้นได้ แต่ไม่ใช่ที่จะซื้อตอนนี้ ผมเป็น VI มา 30 ปี ซื้อ 3 ครั้ง ช่วงวิกฤติชนะตลอด"

 

KSS สแกน SET 

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า โอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอย หรือตลาดหุ้นจะลงแรงนั้น ส่วนตัวไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้น แสดงว่าหุ้นไทยจะแกว่งไซด์เวย์ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวเซอร์ไพรส์ทางบวก ดีขึ้นชัดเจน แต่ที่คนห่วงคือภาคบริการ กลุ่มเทคโนโลยีที่คนเป็นห่วงว่าจะเหมือนวิกฤติที่ผ่านมา ณ วันนี้คนห่วงตัวเลขการผลิต PMI ต่ำกว่า 50 ในทุกประเทศ แต่ผมมองภาคบริการจะปรับลง และภาคการผลิตจะฟื้นกลับมา 

ดังนั้นมองว่าเศรษฐกิจกำลังจะโยก เงินเฟ้อจะใกล้จุดต่ำสุด ส่วนหุ้นไทยมองว่าปีนี้กรอบคือไซด์เวย์ แต่ไตรมาส 4 มองว่าโตดี ถ้ามองภาพการลงทุนการถือยาวคือไม่ใช่ แต่ต้องเปลี่ยนกลุ่มอุตสาหกรรมเสมอ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนในไตรมาส 3/66 ถ้าไม่ติดตามหุ้นอย่างใกล้ชิดให้ฝากเงินไว้กับแบงก์ ส่วนจีนปีนี้เริ่มใช้ยากระตุ้นเบาๆ แต่ตลาดคาดหวังการกระตุ้นอสังหาฯมากกว่าก็ต้องรอดูความชัดเจน

ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยปีนี้อาจจะเล่นยาก หลายคนออกอาการเบื่อ อย่างที่บอกการลงทุนในหุ้นหรือการลงทุนอะไรก็ตามถือว่ายากมาก แต่ถ้าศึกษาให้ดีต้องนำไปคิดต่อว่าจะเล่นหุ้นแบบไหน เล่นรอบ ถือระยะกลาง หรือถือยาว เอาให้ชัด แล้วแอคชั่นแบบนั้น ไม่ใช่เล่นสั้นแต่พอขายไม่ทันเฝ้าบอกตัวเองว่ายังดีที่มีปันผล ซึ่งอาจปันผลแค่ 1%ก็ทนถือไปแบบนั้น อันนี้ก็ไม่น่าจะใช่

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจ แนะนำ CBG ราคาพื้นฐาน 82 บาท , PTTEP ทางเทคนิคลุ้น 157 บาท, BANPU ทางเทคนิคลุ้น 10.50 บาท, IVL เทคนิคลุ้น 38 บาท และ TOP เทคนิคลุ้น 51 บาท

 

ครึ่งหลังลุยธีม Global play

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาเรามีทฤษฎีตอง 5 คือ 1. ดอกเบี้ยจบรอบขาขึ้นในเดือน 5 (พ.ค.66) เพราะเงินเฟ้อลดจาก 9% ลงมาที่ 5% และ 2.มองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอย(Recession)รอบนี้ไม่น่ากลัวเพราะเป็น Predictable Recession เป็นภาวะถดถอยที่คาดการณ์ได้ 3.จบที่แบงก์เล็กไม่ลามไปแบงก์ใหญ่สำหรับสหรัฐฯ 4. Asset Savings การออมสินทรัพย์ ยังมีอยู่ 12-18 เดือน 5.การชะลอตัวของบริการจะแลกมาด้วยการฟื้นตัวของภาคสินค้า

ดังนั้นตอนนี้หากจะเล่นหุ้น ควรขายหุ้นบริการเพราะเราเล่นธีมเปิดประเทศไปแล้ว ไม่ควรเล่นหุ้นบริการแล้ว ตอนนี้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าทุกตัวกองอยู่ในโซนด้านล่าง หุ้นปิโตรติดลบ 2SD BV 0.7 หุ้นอิเล็คฯถ้าไม่นับ DELTA ติดลบ 1SD หุ้น HANA พี/อี 15 เท่า ดังนั้นถ้าใครจะเล่นหุ้นบริการ ณ วันนี้ปลายน้ำแล้ว ต้องไปเล่นหุ้นสินค้าเพื่อเกิดการ Restocking ทั่วโลก

โดยในช่วงครึ่งปีหลังคาด กลุ่ม Global play กับ Commodity จะขึ้นจากการกลับของ Recession ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา คนต่างกังวลว่าเศรษฐกิจอเมริกาจะถดถอยอย่างหนัก และจีนเริ่มอัดนโยบายมากระตุ้น ดังนั้นถ้าเศรษฐกิจไม่ชะลอตัวอย่างที่กังวล มันจะเด้งกลับมา บวกกับการเปลี่ยนถ่ายปรากฏการณ์ของลานีญากับเอลนีโญ คือการเปลี่ยนแปลงปรากฎการณ์ทางธรรมชาติระหว่างภูมิภาคเอเชียกับฝั่งอเมริกาใต้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเราอยู่ในภูมิภาคแห่งฝน แต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาดันแล้งและแล้งสุดในรอบ 4 ปี เราร้อนเร็วร้อนนานและอุณหภูมิร้อนผิดปกติ

ขณะเดียวกันฝั่งมรสุมในอเมริกาใต้ ฝั่งยุโรปกลับเกิดน้ำท่วม ปรากฎการณ์ดัวกล่าวส่งผลให้เกิดการขาดแคลนพลังงาน(Power shortage)ขึ้น ซึ่งในจีนเคยเกิดเหตุการณ์นี้ทำให้รัฐส่งสัญญาณให้เอกชนหยุดการผลิตเพื่อให้ไฟมาอยู่ในภาคประชาชน ตอนนั้นแอปเปิลกับเทสลาหยุดผลิตราว 2 สัปดาห์ อเมริกาใต้ถ้าฮอปส์ถูกทำลายจากปริมาณฝน, ชิลีมีทองแดง, อเมริกาใต้พวก Soft Commodities อยู่ที่บราซิล เกิดเหตุการณ์นี้ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) การส่งออก หรือ Global play บางตัวมีโอกาสกลับมาจึงซื้อสะสมได้ 

5 หุ้นเด่น

สำหรับ 5 หุ้นแนะนำ HANA ซื้อช่วงประกาศงบไตรมาส 2/66 เล่นในช่วงครึ่งปีหลังแล้วจบ ให้ราคาเป้าหมาย 49 บาท , TIDLOR ราคาลดลงจนน่าซื้อ กำไรปีหน้าโต เป็นบริษัทเดียวในไฟแนนซ์ที่กล้าปรับประมาณการลงและกล้าที่จะตั้งสำรองเพิ่ม ราคาเป้าหมาย 30 บาท, หุ้นที่เกี่ยวกับการเมือง แนะนำ CK เพราะราคาลงแรง ทั้งๆที่ลูกดี ราคาเป้าหมาย 33 บาท , IVL ราคาเป้าหมาย 44 บาท และ SCGP ราคาเป้าหมาย 47 บาท

"ช่วง 2 เดือนข้างหน้า หุ้น Domestic Playไม่เพอร์ฟอร์ม รอเปิดประชุมสภาในช่วงต้นเดือน ส.ค. และในไตรมาส 4/66 ลุ้นหน้าการเมืองว่าจะถูกใจต่างชาติหรือไม่ ดังนั้นมอง 1,490 จุดน่าจะเป็นจุดต่ำสุด"

 

เชียร์ CPALL-PLANB-GFPT-PTG-PRTR

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ภาพรวมระยะสั้นอาจจะมีจังหวะการกระตุกได้ โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ดัชนีขึ้นไปแถว 1,700 จุด แล้วทิ้งหลุด 1,500 จุด มาแตะแถว 1,500 กลางๆโดนซัดทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน บวกการเมืองกดดัน

ตอนนี้ปัจจัยภายนอกเริ่มปลดล็อคกลับมา ทิศทางเงินเฟ้อเริ่มชะลอ ดัชนีอาจจะกระตุกขึ้นมาได้ มองกรอบ 1,500-16,00 จุด

โดย 5 หุ้นเด่นน่าทยอยสะสม ภาพรวมระยะสั้นเก็งกำไรฝั่ง Global play แต่เลือกธีมหุ้นระยะกลาง ต้นทุนไม่แพ้ แนะนำหุ้น CPALL ราคาเป้าหมาย 74 บาท, PLANB ราคาเป้าหมาย 10.90 บาท, GFPT ราคาเป้าหมาย 15 บาท, PTG ราคาเป้าหมาย 15.50 บาท และ PRTR ปีนี้คาดกำไรนิวไฮ ราคาเป้าหมาย 9.50 บาท 

"โมเมนตัมตลาดหุ้นไทย เน้นเก็งกำไรในกรอบ มองดัชนีมีแนวรับ 1,500-1,400 จุด แนวต้าน 1,600-1,620 จุด ดังนั้นจังหวะย่อเข้าซื้อ ส่วนทางขึ้นขายล็อคกำไรได้"