ทายาท YLG "ฐิภา นววัฒนทรัพย์"กางโรดแมพปั้นลูกเข้าตลาดหุ้น!
ทายาท YLG "ฐิภา นววัฒนทรัพย์" เดินหน้าปั้นแพลตฟอร์ม 'ทองคำ' เอาใจนักลงทุนทุก GEN พร้อมแต่งตัว "YLG Bullion Singapore"เตรียมเทรดตลาดหุ้นไทย!
"ทองคำ"สินทรัพย์ที่เรียกได้ว่าไม่เคยตกยุค เข้าถึงทุกเพศทุกวัย ทุกการลงทุน และเทรนด์ราคานับจากนี้มีแต่จะเพิ่มขึ้น วันนี้ "ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์" จะพาไปรู้จักทายาทธุรกิจทองคำ "ฐิภา นววัฒนทรัพย์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน เเอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ผู้หญิงเก่งและแกร่ง และอีกไม่นานเตรียมนำ "YLG Bullion Singapore" เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)
แต่กว่าชื่อ YLG จะเติบโตครองอันดับต้นๆในไทยและขยายไปในต่างประเทศตลอดจนทุกวันนี้ จุดเริ่มต้นสำคัญเสมอ ย้อนกลับไปเมื่อ 27 ปีก่อน "บริษัท ยูหลิมโกลด์ แฟคตอรี่ จำกัด" ได้ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ.2536 ดำเนินธรุกิจผลิตและส่งออกเครื่องประดับจากทองคำและเพชรพลอยแท้ ส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกา, อาหรับ และยุโรป ซึ่งตั้งแต่จำความได้ตอนนั้นได้เข้ามาช่วยคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่เด็กๆ
"เราเป็นครอบครัวคนจีน คุณพ่อคุณแม่ฝึกมาตั้งแต่เด็กๆให้ทำงาน เข้ามาช่วยช่วงปิดเทอม อย่างช่วงทำจิวเวอรี่ก็เข้ามาช่วยตักเพชร นับเพชร กะรัตละ 1 หมื่นเม็ดแล้วนำไปชั่งน้ำหนัก หรือ ช่วยงานถ่ายเอกสาร เสิร์ฟน้ำลูกค้า เช็ดกระจกตู้สำหรับโชวร์เครื่องเพชร ช่วยจากงานง่ายๆไปก่อน จากนั้นค่อยขยับมาทำฝ่ายขาย ช่วยงานอื่นๆเพิ่มขึ้น"
จุดเริ่มต้น YLG
พอใกล้เรียนจบ อายุราว 20 ปีต้นๆ คุณแม่มองว่ามีลูก 2 คนน่าจะต้องขยายธุรกิจเดิม เพื่อแตกไลน์ธุรกิจจะได้แบ่งกันดูได้ง่ายขึ้น และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของ "บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด" ก่อตั้งขึ้นในพ.ศ.2546 เพื่อดำเนินธุรกิจนำเข้า ส่งออก และให้บริการซื้อขายทองคำแท่ง 99.99%และทองคำแท่ง 96.5% ที่ได้มาตรฐานขายให้กับร้านทองในประเทศ รวมถึงนักลงทุนรายใหญ่
พร้อมทั้งบริการให้คำปรึกษาและคำแนะนำด้านการลงทุน ซึ่งแรกเริ่มเดิมที YLG มีทีมงานเพียง 4-5 คนเท่านั้น จากออเดอร์ที่มีไม่มากนัก เริ่มขยายใหญ่ขึ้น เติบโตขึ้นจนทุกวันนี้
"YLG ในช่วง 3 ปีแรกถือว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดี เพราะเราให้บริการลูกค้าแบบจัดเต็ม แทนที่จะรอให้ลูกค้าโทรหา เราโทรคุยลูกค้า เราเริ่มส่งบทวิเคราะห์ให้ลูกค้า เริ่มทำออนไลน์ขายผ่านเว็บไซต์ แต่ตอนนั้นยังไม่มีแอปพลิเคชั่น ลูกค้าสามารถสั่งซื้อขายออนไลน์ได้ มีบทวิเคราะห์ให้ ลูกค้าสั่งตั้งออเดอร์ อย่างพวกร้านทองบอกมีออเดอร์มา 10 โลอยากได้ราคาดีๆทางเซลส์จะช่วยดูแนวรับแนวต้าน ให้คำปรึกษา เราใส่บริการต่างๆเข้าไปตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจจึงค่อนข้างได้รับการตอบรับที่ดี"
ขยายการเติบโต
ต่อมาทาง ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ประเทศไทย(TFEX) สนใจทำ Gold Future ซึ่ง YLG ติด 1 ใน 5 ร้านทองที่ TFEX เชิญเป็นมาร์เก็ตเมคเกอร์และโบรกเกอร์ ดังนั้นในพ.ศ.2552 จึงก่อตั้ง "บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด" เพื่อให้บริการนายหน้าซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสำหรับนักลงทุนรายย่อย และนิติบุคคล ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เข้ามาช่วยดูเช่นกันและเราหาทีมที่มีความรู้ความสามารถจากโบรกเกอร์อื่นๆเข้ามาเสริม เริ่มมีกลุ่มลูกค้าบุคคลและนักลงทุนเพิ่มขึ้น จนถึงปัจจุบันเราไม่ได้ขายแค่ทอง Gold Future แต่มีทั้ง SET50 Single Stock Future , Oil Future Currency เป็นต้น
ล่าสุดได้ร่วมกับ CME ตลาดซื้อขายอนุพันธ์ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ขายทองล่วงหน้าทั้งหมด ทั้ง Gold Future ของตลาด CME Currency เหมือน Bitcoin Future , Ethereum Future เป็นต้น สินค้าที่ CME ขาย YLG ขายผ่านแพลตฟอร์ม MT5 ดังนั้นตอนนี้เรามี 2 แพลตฟอร์ม คือ SETTRADE รองรับการซื้อขายลูกค้าในประเทศขณะที่ MT5 แพลตฟอร์มรองรับการลงทุนในต่างประเทศ
เปิดตลาดสิงคโปร์
YLG ไม่ได้หยุดแค่นี้ แต่ขยายไปในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจังหวะในขณะนั้นทางรัฐบาลสิงคโปร์มาเยือนประเทศไทยและมีนโยบายให้ทองคำเป็นฮับที่สิงคโปร์ และเห็นว่า YLG เป็นผู้ซื้อผู้ขายรายใหญ่จึงเชิญเราไป โดยให้สิทธิพิเศษ อาทิ ภาษี และอื่นๆ นี่คือโอกาสที่ดี จึงก่อตั้ง "บริษัท YLG Bullion Singapore จำกัด" ขึ้นใน พ.ศ.2555 และถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ส่งออกถือเป็นอันดับ 1 ในสิงคโปร์ ที่เป็น Non-Bank
โดยโมเดลที่ทำธุรกิจในสิงคโปร์ต่างจากเมืองไทยตรงที่ YLGในไทยขายให้ร้านทองและนักลงทุนในไทย แต่ที่ YLG สิงคโปร์ขายให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Southeast Asia)ทั้งหมด ที่มีทั้งไทย ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเซีย สิงคโปร์ และบรูไน
"ในช่วงนั้นแบงก์ชาติคุมการใช้เงินสกุล US Dollar ค่อนข้างหนัก ซึ่งทองคำเป็นหนึ่งในสินค้าที่ถูกควบคุมเช่นกัน หากจำกันได้ในปีนั้นทุกคนต่างขยายไปตลาดอาเซียน ออกไปต่างประเทศ แล้วพอเราจะออกไปขายกลุ่มลูกค้าอาเซียนมันไม่ได้ เพราะถ้าซื้อขาย สกุล US Dollar พอเอากลับเข้ามาต้องแปลงเป็นเงินบาท กฎหมายเราไม่ได้ซัพพอร์ต ประกอบกับรัฐบาลสิงคโปร์เข้ามาชวนเราในช่วงที่มีแผนขยายไปต่างประเทศจึงตัดสินใจไป ที่สำคัญการซื้อขายค่าเงินที่นั่นเป็น US Dollarได้ ค่อนข้างเสรี แม้ลูกค้าที่นั่นจะมีน้อยแต่หลักๆคือเป็นศูนย์กลางที่ซัพพอร์ตลูกค้าที่อยู่รอบๆทั้งหมด และเราขายให้ร้านทองรายใหญ่ TOP 3 ในแต่ละประเทศ ขายเฉพาะที่เป็น Whole Sale ถือเป็นตลาดใหญ่และยังมีโอกาสขยายการเติบโตได้"
ปั้นลูกเข้าตลาดหุ้น
และด้วยการเติบโตที่แข็งแกร่ง "YLG Bullion Singapore" มีสินค้า คือ ทองคำ(GOLD) และเงิน(Silver) กลุ่มลูกค้ามีทั้งโรงงานผลิต เหมือง และทำกับรัฐบาล ลูกค้าจะเป็นระดับภูมิภาคเอเชีย ร้านส่งรายใหญ่ของแต่ละประเทศ หากเทียบขนาดของตลาดที่สิงคโปร์จะกว้างกว่าไม่ได้จำกัดเฉพาะตลาดเมืองไทย ดังนั้นออเดอร์ที่มาจากฝั่งต่างประเทศจะอยู่ที่ YLG สิงคโปร์ทั้งหมดส่งผลให้ยอดเติบโตกว่าในไทยค่อนข้างมาก
ดังนั้นแผนจากนี้คือ เตรียมความพร้อมในการนำ "YLG Bullion Singapore" เข้ามาเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เบื้องต้นยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ อาจต้องรอให้กระบวนการทุกอย่างชัดเจน เพราะยังมีหลายขั้นตอนที่ต้องดำเนินการ แต่หากมีความคืบหน้า การยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต. จะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้อย่างแน่นอน ซึ่งคาดว่าน่าจะได้เห็นภาพชัดในปี 2567
4 แอปพลิเคชั่นรับออเดอร์
และด้วยพฤติกรรมนักลงทุนทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่สนใจลงทุนทองคำที่มีความหลากหลายมากขึ้น YLG จึงพัฒนาบริการเพื่อมาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ารายใหญ่ รายย่อย และนักลงทุน ที่จะเติบโตเป็นนักลงทุนมืออาชีพในอนาคต YLG พัฒนา 4 แอปพลิเคชั่นเพื่อรองรับทุกความต้องการ ดังนี้
1.YLG ออนไลน์ ใช้มากว่า 20 ปี กลุ่มลูกค้าคือกลุ่มร้านทองรายใหญ่ ซื้อขายทองคำระดับ 10 บาทขึ้นไป สามารถวางเงินประกัน สั่งไว้ก่อนได้ อีก 2 วันจ่ายเงิน
2.YLG Gold Investment สามารถซื้อขายเงินบาท หรือ US ได้ เป็นลูกค้ารีเทลไซส์ใหญ่ ซื้อขายทองคำระดับ 10 บาทขึ้นไป วางเงินประกัน สั่งไว้ก่อนได้ อีก 2 วันจ่ายเงิน
3.เป๋าตังค์ สามารถเลือกรับเป็นทองคำได้เหมือนกัน อาทิ ไซส์ 1 กรัม หรือ 2 กรัม เราจัดส่งผ่านบริการไปรษณีย์ที่มีประกันบนสินค้าที่ไป หรือบางท่านไม่สบายใจอยากมารับเองก็ทำได้เช่นกัน
4.แอปพลิเคชั่น "Get Gold" ซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ลงทุนเริ่มต้นตั้งแต่ 100-100,000 บาท สามารถซื้อขายได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งในแต่ละวัน ที่สำคัญสามารถถอนเงินออกมา หรือ สะสมทองคำจนครบ 1 กรัม แล้วทำการขายเพื่อแลกเป็นทองคำแท่ง ได้ทั้งทอง 96.5% และ 99.99% ซึ่งทาง YLG ร่วมกับไปรษณีย์ไทยในการบริการส่งทองคำถึงหน้าบ้าน พร้อมทำประกันเรื่องความปลอดภัยในการส่ง
ข้อดีของ "Get Gold" เราอยากซื้อ-ขาย ก็สามารถทำได้ง่ายเลย เพียงแค่กดตัวเลขที่อยากซื้อ จากนั้นจะมี QR CODE ไปชำระเงิน ทองก็จะขึ้นเครดิตให้ทันที สามารถทำเป็นรายเดือน รายครั้ง และในอนาคต"Get Gold"ก็จะมีการต่อยอดและพัฒนาสินค้าต่างๆเพิ่มขึ้น ส่วนลูกค้าที่ทำ KYC CDD เรียบร้อยสามารถซื้อได้มากกว่า 100,000 บาทต่อวัน ทั้งนี้เราหวังว่าลูกค้าให้ความสนใจซื้อ-ขายเพิ่มขึ้น ถือเป็นกลุ่มใหม่ของเรา และในอนาคตก็จะมีโพรดักส์ใหม่ๆและบริการใหม่ๆเข้ามาเพิ่มขึ้น
"ตอนนี้เรามี 4 ช่องทางที่รองรับทุกความต้องการของลูกค้าทั้งการเปิดหน้าร้าน ออนไลน์-ออฟไลน์ในไทยและต่างประเทศ และในอนาคตอาจจะเห็นการรวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ลูกค้าสะดวกยิ่งขึ้นและน่าจะมีสินค้าตัวใหม่ๆเข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างดำเนินการและยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนในปีหน้าเช่นกัน"
ถามว่า..ซื้อทองตอนนี้ได้หรือไม่ ?
ส่วนตัวเป็นคนที่เชื่อทองคำและเชียร์ทองคำ ดังนั้นจึงแนะนำซื้อไว้ในพอร์ตไม่เกิน 10% แต่ถ้าเป็นคนชอบทองน้อยๆซื้อได้ไม่เกิน 5% ของเงินทั้งหมด เพราะอยากให้มองว่าเป็นการกระจายพอร์ตการลงทุน เพราะทองคำมีขึ้น มีลง แต่ข้อดีของทองคำคือในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ทองคำราคาขึ้นและหลายคนที่บอกว่าซื้อยังไงก็ไม่ขาดทุน โดยเฉพาะช่วงนี้ถือว่าเป็น Safe Heaven มากๆ ดังนั้นส่วนตัวมองว่าทองคำน่าจะมีบทบาทไปอีก 2-3 ปี หรือจนกว่าจะมีสิ่งใหม่ๆมาเปลี่ยน
โดยในช่วงต้นไตรมาส 2/2566 ที่ผ่านมาราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปอย่างร้อนแรงจนทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2,079 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ทองคำได้รับความสนใจในฐานะทรัพย์สินปลอดภัย ทำให้นักลงทุนทุกกลุ่มติดต่อเข้ามาเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่นกลุ่มคนเริ่มทำงาน นักเรียน นักศึกษา และคนทั่วไป ที่เริ่มให้ความสนใจลงทุนในทองคำ
ทองพีคสุดได้แค่ไหน ?
แม้ราคาทองคำจะไม่ได้ขึ้นเสมอไป แต่นับตั้งแต่ทำธุรกิจมากว่า 20 ปี เราเห็นราคาทองขายตั้งแต่ 4,000 บาท จนขึ้นมาแตะ 29,000 บาท แล้วร่วงลงมาที่ 17,000-15,000 บาท วันนี้ราคาทองวิ่งกลับมายืนแถว 32,000 บาท นั่นหมายความว่าราคาทองมี Cycle(ไซเคิล)หรือวัฎจักรเหมือนเศรษฐกิจ หากเทียบราคาทองกับภาพเศรษฐกิจจะเห็นว่าเวลาที่เศรษฐกิจเข้ารอบขาขึ้น ราคาทองจะขาลง แต่หากเศรษฐกิจขาลง ทองจะเข้ารอบขาขึ้น และทางสมาพันธ์ทองคำโลกทำตารางจัดเป็นพอร์ตออกมาว่า พอร์ตที่ดีควรมีทองคำราว 10% เพราะในช่วงที่หุ้นขาลง ทองขาขึ้น เห็นได้จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทองขึ้นไปทำนิวไฮ 7% แม้ราคาทองตอนนี้จะลดลง แต่ยังบวก 1%เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี
ในช่วงเศรษฐกิจเป็นขาขึ้นทุกอย่างสวยงาม ที่ดินราคาขึ้น หุ้นดีได้ปันผล ทองก็จะเป็นขาลงแต่จะลงไปเท่าไหร่ ซึ่งข้อดีของทองคำคือ เราเห็นปีที่ทองแย่ ลงไปทดสอบ 15,000-17,000 บาท นั่นคือต้นทุนหน้าเหมือง ประมาณ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ไม่มีโอกาสลงไปต่ำกว่านั้น หากมองภาพจากนี้ ถ้าเชื่อเหมือนกันว่าเรามีโอกาสได้เห็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจจากสองฝั่ง อเมริกาและจีน เราจะเห็นภาพธนาคารกลางของแต่ละประเทศเข้าซื้อทองคำต่อเนื่อง ลดการถือครอง US ดอลลาร์
ดังนั้นเชื่อว่าทองลงแค่ไหนคงไม่ถึงจุดต่ำ 15,000-17,000 บาท แม้การแกว่งตัวของราคาจะมีลักษณะเป็นเหมือนภูเขาขึ้นลง ตอนนี้ราคาทองคำเชื่อว่ายังไม่ถึงจุดสูงสุดของภูเขา และยังสูงขึ้นไปได้อีก ดังนั้นหากราคาทองย่อลงมาแนะนำซื้อสะสม เพราะมีลุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2,079 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
"ช่วงที่เศรษฐกิจขาขึ้น ราคาทองจะได้รับความนิยมน้อยลง นักลงทุนหรือกองทุนจะเทขายทองวิ่งไปยังสินทรัพย์อื่นที่ปลอดภัย อย่างปี 2565 ราคาทองคำสูงกว่านี้ แต่พอเฟดเริ่มขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจนดอกเบี้ยขึ้นมามากกว่า 5% ทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละมากกว่า 10% คนก็ถามว่าทำไมต้องซื้อทองวันนี้ที่ราคาสูงมาก เอาเงินไปฝากหรือลงทุนอย่างอื่นดีกว่ามั้ย หรือซื้อหุ้นกู้ เป็นต้นแต่ตอนนี้ก็คือเสี่ยงกว่าทอง ดังนั้นทุกครั้งที่เศรษฐกิจดี ทองก็โดนเปรียบเทียบ"
ของมันต้องมี!
ฝากถึงนักลงทุน ทุกคนควรมีทองคำ 5-10% เก็บไว้ในพอร์ต ซื้อผ่านช่องทางไหนก็ได้ตามสะดวกได้เลย อีกอย่าง เดี๋ยวนี้ทองคำซื้อได้ง่าย ไม่เหมือนในต่างประเทศที่ไม่มีช่องทางการซื้อต้องซื้อผ่านกองทุน และการซื้อทองไม่ต้องหักค่าธรรมเนียม 2% หรือ 4% สามารถซื้อทองผ่าน YLG หรือร้านค้าทองใกล้บ้านได้เลย อยากให้ซื้อทองเก็บไว้ เพราะขายช่วงไหนก็ได้ตามราคาตลาด
แต่ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง และทองคำก็เช่นกันเพราะราคามีขึ้นและลง เพียงแต่ช่วงนี้เราเชื่อว่าทองยังมีบทบาทสักระยะหนึ่ง แล้วพอทุกอย่างจบ ทองก็อาจจะลดบทบาทลง แต่ช่วงเปลี่ยนขั้วอำนาจระดับโลกเชื่อว่าทองยังดีอยู่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังเป็นภาวะขาลง และ GDP ของไทยไม่ได้โตมาก แต่ในฝั่งสหรัฐฯจะเริ่มเห็น Recession ทองน่าจะบวกได้ต่อเนื่อง