posttoday

หุ้น TOP จังหวะนี้น่ารับ ? 5โบรกส่องสตอรี่อุดรูรั่วอนาคต

05 กันยายน 2566

หุ้น TOP ราคา Overhang จากความไม่ชัดเจนความเสียหาย เหตุน้ำมันดิบบริเวณทุ่นผูกเรือ(SBM-2) รั่วออกมาราว 50,000-100,000 ลิตร ฟาก 5 โบรกประเมินไตรมาส 3/66 รายจ่ายเพียบ ฉุดกำไรปี 66-67 แต่เชียร์ซื้อ

ราคาหุ้น "บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP" เช้านี้(5 กันยายน 2566) ณ เวลา 10.38 น. อยู่ที่ 48.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง โดยราคาขึ้นไปสูงสุด 49.25 บาท ลดลงต่ำสุด 48.50 บาท

ช่วงสั้นยังมองลบ
     นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.ลิเบอเรเตอร์ ระบุว่า สรุป conference call ผู้บริหาร "TOP" ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องค่าใช้จ่ายและระยะเวลากลับมาใช้ได้อีกครั้ง 
      TOP แจ้งเหตุน้ำมันดิบรั่วบริเวณทุ่นผูกเรือ (SBM-2) จำนวนน้ำมันที่รั่วออกมาราว 50,000-100,000 ลิตร เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าจะต้องหยุดเป็นเวลากี่วัน และมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการกำจัดน้ำมันเท่าใด เพียงแต่พูดถึงว่าบริษัทมีทำประกันครอบคลุมทั้งในส่วนทรัพย์สิน มลพิษ รวมถึงการหยุดชะงักทางธุรกิจไว้แล้ว
     ปัจจุบัน บริษัทมีทุ่นผูกเรือ 2 ที่คือ SBM-1 และ SBM2 ส่วนใหญ่จะใช้ SBM-2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่แน่ใจว่าทางการจะให้หยุดใช้ SBM-1 ด้วยหรือไม่ แต่หากหยุดใช้จริง ทางบริษัทจะไปใช้ท่าเรือของ PTT แทน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่ปิดเราคาดจะมีค่าใช้จ่ายขนถ่ายนำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งเราคาดว่าตัวเลขน่าจะใกล้เคียงกับที่เคยเกิดกับ SPRC ราว 1-2 เหรียญต่อบาร์เรลและบริษัทแจ้งว่ายังมีน้ำมันไว้ใช้ได้อีกราว 30 วัน
     ระยะเวลาการซ่อม SBM-2 ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน แต่คงต้องรอให้สถานการณ์คลี่คลายก่อนถึงจะเข้าไปตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการทำความสะอาดคาดไม่น่าเกิน 200 ล้านบาท ซึ่งไม่นับรวมหากน้ำมันพัดขึ้นสู่ฝั่งซึ่งจะกระทบต่อหลายฝ่ายและจำนวนเงินเรียกร้องจะเพิ่มขึ้น

     การประกันภัยประกอบด้วย 1) TPL วงเงิน 50 ล้านเหรียญ ความรับผิดชอบส่วนแรก 10,000 เหรียญ 2)มลพิษวงเงิน 25 ล้านเหรียญ ความรับผิดชอบส่วนแรก 1 ล้านเหรียญ 3) All Risk ประกอบด้วยความเสียหายทรัพย์สิน 255 ล้านเหรียญ และ Stock 761 ล้านเหรียญ ความรับผิดชอบส่วนแรก 5 ล้านเหรียญ และ 4) การหยุดชะงักทางธุรกิจวงเงิน 1,120 ล้านเหรียญ ความรับผิดชอบส่วนแรก 60 วัน
     "แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินเครื่องในส่วนโรงกลั่น และราคาหุ้นปรับลงสะท้อนข่าวลบไปแล้วก็ตาม อีกทั้งบริษัทแจ้งว่าสามารถควบคุมให้น้ำมันอยู่ในวงจำกัดแล้วแต่หากมีการรั่วไหลเพิ่มอาจมีความเสี่ยงต่อประมาณการเนื่องจากจะมีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มให้กับบุคคลอื่นเพิ่มเติม นอกจากเรื่องการขนถ่ายน้ำมันอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับ SPRC แม้ว่าเราจะชอบ TOP จาก GRM ที่ฟื้นตัว แต่ปัจจัยดังกล่าวจะกดดันต่อราคาหุ้น รวมถึงแนวโน้มการดำเนินงานในปีหน้าที่จะได้รับผลกจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทำให้ความน่าสนใจอาจลดลง"

Overhang จากน้ำมันรั่ว
     บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากการ Conference Call ผู้บริหาร TOP ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์ เบื้องต้นคาดปริมาณน้ำมันรั่วไหลราว 50,000-100,000 ลิตร จุดเกิดเหตุห่างจากชายฝั่ง 6 กิโลเมตรบริษัทฯ อยู่ระหว่างเร่งขจัดคราบน้ำมัน ก่อนจะลอยเข้าสู่ชายฝั่งบริเวณศรีราชาภายใน 1-2 วัน
     ประกันภัยครอบคลุมดังนี้ 1.ความเสียหายบุคคลที่สาม 50 ล้านเหรียญฯ (Deductible ส่วนแรก 10,000 เหรียญฯ) 2.ความเสียหายด้านมลภาวะ 25 ล้านเหรียญฯ (Deductible ส่วนแรก 1 ล้านเหรียญฯ) 3.ความเสียหายสินทรัพย์เกี่ยวกับท่อต่างๆในทะล 255 ล้านเหรียญฯ และเกี่ยวกับปริมาณสำรองน้ำมัน 761 ล้านเหรียญฯ (Deductible ส่วนแรก 5 ล้านเหรียญฯ) 4.การหยุดชะงักของการดำเนินธุรกิจ 1,120 ล้านเหรียญฯ (Deductible ส่วนแรก 60วัน)

     บริษัทฯมีน้ำมันสำรองรองรับการผลิตได้ 30วัน ระยะสั้นจึงไม่ส่งผลต่ออัตรากลั่นเดือน ก.ย. โดยบริษัทฯมีทุ่นผูกเรือกลางทะเลสำหรับขนถ่ายน้ำมัน 2 แห่ง โดยระหว่าง SBM-2 เกิดปัญหาสามารถใช้ SBM-1 แทนได้ ทั้งนี้ SBM-1 มีข้อจำกัดด้านความลึกของน้ำทะเลทำให้ TOP ต้องใช้เรือขนส่งน้ำมันขนาดเล็กลง และค่าขนส่งเพิ่มขึ้น (ESSO ได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะปัจจุบันใช้บริการท่อ SBM-2 ของบริษัทฯ)
     เหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่กระทบต่อ SBM-1 อย่างไรก็ตาม กรณีเลวร้าย หากภาครัฐระงับการใช้งาน SBM-1 บริษัทฯมีแผนรองรับ โดยจะไปใช้งานท่อรับน้ำมันของ PTT แทน
     การรั่วไหลครั้งนี้เกิดขึ้น ณ ท่อขนถ่ายที่ลอยบนผิวน้ำ แตกต่างจากเหตุการณ์ของ SPRC เมื่อต้นปี 2565 ที่เกิดบริเวณท่อใต้ทะเล ทำให้ความซับซ้อนในการแก้ไขน้อยกว่ากรณีของ SPRC
     การประเมินผลกระทบด้านการเงิน 1.กรณี SBM-2 หยุดการใช้งานนานกว่า 1 เดือนจะส่งผลให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้น หากอ้างอิงสมมติฐาน Freight Rate เพิ่มขึ้น US$1/bbl จะกระทบต่อกำไร 250 ล้านบาทต่อเดือน กรณีหยุดใช้งาน SBM-2 จำนวน 1 ปี จะส่งผลกระทบ 3 พันล้านบาท 2.แม้บริษัทมีประกันภัยเข้ามาช่วยลดผลกระทบ แต่คาดบริษัทจะตั้งสำรองค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เช่น ค่าเยียวยาผลกระทบค่าดำเนินการฉุกเฉิน ฯลฯ เข้ามาในงบการเงินก่อน 
     ขณะที่การเคลมประกันภัยอาจเกิดขึ้นภายหลัง และไม่ครบทั้งจำนวน (คาดราว 50%) หากอ้างอิงเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลของ PTTGC เมื่อปี 2556 จำนวน 5.4 หมื่นลิตร มีค่าใช้จ่ายรวม 1.1 พันล้านบาท(ก่อนหักเงินเคลมประกันภัย) และ SPRC เมื่อปี 2565 จ านวน 4.7 หมื่นลิตร โดยปีที่ผ่านมามีค่าใช้จ่ายรวม 1.7 พันล้านบาท (ก่อนหักเงินเคลมประกันภัย) สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ เราคาด TOP อาจบันทึกค่าใช้จ่ายความเสียหายต่างๆ ราว 1-2 พันล้านบาท ภายในช่วง 1 ปีนับจากนี้
     ดังนั้น ภายใต้สมมติฐาน 1.ค่าขนส่งเพิ่มขึ้น US$1/bbl  2.SBM-2 หยุดใช้งาน 1 ปี 3.ค่าเสียหายรวม 1.5 พันล้านบาท เหตุการณ์ครั้งนี้จะส่งผลต่อประมาณการกำไรปี 2566 ที่ 1.5 พันล้านบาท คิดเป็น Downside 11% และปี 2567 ที่ 3 พันล้านบาท คิดเป็น Downside 28%
     ราคาหุ้นวานนี้ -5% ถือว่าสะท้อนปัจจัยลบไประดับนึงแล้ว อย่างไรก็ตาม เรามองว่าหุ้นโรงกลั่น SPRC หรือพลังงานต้นน้ำ PTTEP จะเป็นตัวเลือกหุ้นพลังงานที่น่าสนใจกว่าในระยะสั้น เพราะ TOP ยังมี Overhang จากความไม่ชัดเจนของความเสียหาย, ผลกระทบด้าน ESG, แรงกดดันจากหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง, Downside Risk ต่อประมาณการ-ราคาเหมาะสมของเรา

หั่นเป้าปี 66-67
      ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส
ระบุว่า เหตุน้ำมันรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล (SMB-2) ชลบุรี เบื้องต้นบริษัทคาดมีปริมาณน้ำมันรั่วไหลราว 75,000 ลิตร แต่สามารถควบคุมที่จุดรั่วได้แล้ว เหตุการณ์รั่วครั้งนี้จะไม่กระทบต่อการเดินเครื่องโรงกลั่น เราคาดความเสียหายอันเกิดจากสินทรัพย์เสียหายและการหยุดดำเนินธุรกิจและอื่นๆ ประมาณ 1,700 ลบ. ซึ่งมีประกันภัยคุ้มครองเกือบทั้งหมด แต่เนื่องจาก SMB-2 ยังต้องใช้เวลาซ่อมแซมนาน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เรือขนถ่ายน้ำมันดิบเข้าสู่โรงกลั่นแทน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าขนส่งน้ำมันจะเพิ่มขึ้นราว US$1 ต่อบาร์เรล หรือคิดเป็น 940 ลบ. ที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2023 และปี 2024 อีกราว 3,000 ลบ. ค่าเคลมประกันคืนคาดจะได้คืนตั้งแต่ปลายปีหน้าเป็นต้นไป
     ดังนั้นเราจึงปรับลดประมาณการปี 23-24 ลง 14% และปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 56.80 บาท แม้ระยะสั้นราคาหุ้นอาจยังถูกกดดันจากความเสี่ยงที่จะมีความเสียหายเพิ่มเติมและทำให้ราคาหุ้น Overhang แต่เนื่องจากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูงก็จะช่วยชดเชยความเสียหายได้บ้างและราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside เกิน 10% จากราคาเป้าหมาายเรา ระยะยาวยังแนะนำ“ซื้อ”

Q3 ค่าใช้จ่ายเพิ่ม
     บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า TOP แจ้ง SET ว่าเกิดเหตุน้ำมันรั่วบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล หมายเลข 2 (SBM-2) เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2023 เวลา 21.00 น. ซึ่งผู้บริหารคาดว่ามีน้ำมันรั่วไหลออกไป 50,000-100,000 ลิตร กรมควบคุมมลพิษคาดว่าจะมีน้ำมันรั่ว 45,000-70,000 ลิตร โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากรณีที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราการกลั่นน้ำมันดิบใน 3Q23 เพราะในปัจจุบัน TOP มีน้ำมันดิบสำรองเพียงพอสำหรับใช้กลั่นได้นาน 30 วัน แต่จะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว 
     ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีน้ำมันรั่วของ SPRC (47,000 ลิตรจากสายส่งใต้ทะเล) เมื่อเดือนมกราคม 2022 กรณีนี้ถือว่ารุนแรงน้อยกว่า เพราะส่วนที่รั่วมาจากสายส่วนที่ลอยน้ำเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทจะมีค่าใช้จ่าย (OPEX) เพิ่มเติมที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ อย่างเช่น i) การดำเนินการเพื่อจัดการน้ำมันรั่ว ii) การฟื้นฟู และปกป้องสิ่งแวดล้อม iii) ต้นทุนค่าระวางขนส่งที่สูงขึ้นเนื่องจากจะต้องมีการปิดซ่อม SBM-2 โดย SBM-1 จะเป็นตัวหลักในการรับน้ำมันแทน 
     อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าต้นทุนค่าระวางขนส่งจะเพิ่มขึ้นประมาณ 300 ล้านบาท/เดือน (US$1/bbl) เพราะต้องใช้เรือขนส่งน้ำมันที่มีขนาดเล็กกว่า ทั้งนี้ ถ้าหากรัฐบาลไม่อนุญาตให้ใช้ SBM-1 บริษัทยังมีแผนสำรองคือจะใช้ conventional buoy mooring (CBM) หรือใช้ท่าเรือ jetty ของ PTT ผ่านท่อส่งน้ำมันมาส่งให้ TOP ทั้งนี้ TOP มีการทำประกันเอาไว้ ซึ่งครอบคลุมความเสียหายต่อทรัพย์สิน, ธุรกิจที่สะดุดหยุดลง, ภาระทางด้านมลพิษ และความเสียหายต่อบุคคลที่สาม อย่างไรก็ตาม การเคลมประกันอาจจะต้องใช้เวลากว่าจะสอบสวนหาสาเหตุเสร็จเรียบร้อย
กรณีเลวร้ายกดหุ้นร่วง 3.50 บ. 
     ตามแบบจำลอง OILMAP ของกรมควบคุมมลพิษ คาดว่าน้ำมันที่รั่วจะลามไปถึงอ่าวอุดม (7 กันยายน), เกาะลอย (8 กันยายน) และชายหาดบางแสนในวันอาทิตย์นี้ (10 กันยายน) ถึงแม้ว่ากรณีน้ำมันรั่วไหลจะอยู่นอกเหนือการควบคุม แต่เราคาดว่าชุมชนในพื้นที่จะเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางทะเล เช่นเดียวกับกรณีของ SPRC (มูลฟ้อง 7.7 พันล้านบาท) ซึ่งเรื่องยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง เรามองว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด ราคาหุ้น TOP จะมี downside 3.50 บาท/หุ้น หากใช้สมมติฐานความเสียหายเหมือนกับกรณี SPRC
ราคาหุ้นน่าสนใจ 
     Bloomberg consensus ประเมินราคาเป้าหมายของ TOP ที่ 61.82 บาท โดยราคาหุ้นในปัจจุบันคิดเป็น P/BV ปี 2023F/2024F ที่ 0.66/0.63x ซึ่งต่ำกว่า P/BV เฉลี่ยระยะยาว -2S.D. และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ 4.7% ในปีนี้ และ 5.1% ในปีหน้า เราเชื่อว่าราคาหุ้นสะท้อนข่าวนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ผลประกอบการ 3Q23 มีแนวโน้มจะดีขึ้นทั้ง yoy และ qoq แต่อย่างไรก็ตามราคาหุ้นน่าจะเผชิญปัจจัยกดดันราคาในระยะสั้น ซึ่งเทียบเคียงจาก กรณีของ SPRC ที่ราคาหุ้นไม่ปรับตัวขึ้นในระยะเวลา 2 เดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์

มีประกันฯ
     บล.แลนด์แอนด์เฮ้าส์
ระบุว่า ราคาหุ้น TOP ลดลงแรง -5% เมื่อวานนี้ด้วยมูลค่าซื้อขายสูงสุด ซึ่งน่าจะสะท้อนประเด็นลบดังกล่าวไปบ้างแล้ว แต่หากเทียบกับ SPRC ซึ่งเคยเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลเมื่อ ม.ค. 65 และราคาหุ้นลดลงต่อเนื่องรวมราว -19% ในเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง (ก่อนฟื้นตัวกลับมา) สะท้อนว่าราคาหุ้น TOP อาจลดลงได้ต่อ
     นอกจากนั้นประเด็นน้ำมันรั่วไหลนี้จะลดทอนกำไร 3Q66F ที่คาดโดดเด่นมากตามค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น รวมถึงกดดันต่อเนื่องไปยัง 4Q66F (SPRC ต้องบันทึกค่าใช้จ่ายราว -1.5 พันลบ. จากเหตุน้ำมันรั่วไหลไปก่อน และเรียกร้องประกันภัยภายหลัง) แม้ระยะยาวเรายังแนะนำ TOP จากประเด็นบวกเรื่องการเพิ่มกำลังการกลั่นจากโครงการ CFP แต่คาดในระยะสั้นราคาหุ้นยังถูกถ่วงด้วยประเด็นน้ำมันรั่วไหลนี้ทำให้เราแนะนำ BCP มากกว่าในช่วงนี้
     สัญญาณทางเทคนิค แนะนำซื้อ TOP แนวต้าน 54.75 บาท แนวรับ 47.5 บาท ตัดขาดทุน 42.25 บาท หุ้นยังซื้อขายกันในราคาถูก FY66F P/E=9x, P/B=0.7x, D/P=6% มองเป็นโอกาสซื้อสะสมเข้าพอร์ต มูลค่ายุติธรรม 63 บาท (GGM: FV/BV=0.875x 66F BV=72บ. อิง ROE=7.5%, COE=8%, LTG=4%)