posttoday

JKN ขู่หากไม่ได้รับอนุมัติเข้าแผนฟื้นฟูฯ เสี่ยงปิดกิจการ-หุ้นไร้มูลค่า

29 พฤศจิกายน 2566

“แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ชักแม่น้ำทั้งห้า ชี้ JKN เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด ประกาศหากไม่ได้รับอนุมัติให้เข้าแผนฟื้นฟูฯ เสี่ยงปิดกิจการ ล้มละลาย หุ้นไร้มูลค่า กระทบนักลงทุน-ผู้ถือหุ้น-พนักงาน

คุณแอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดประชุมเพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนและผู้ที่เกี่ยวข้อง (Public Presentation) ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Meeting) เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2566 เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ขึ้นเครื่องหมาย C บนหลักทรัพย์ของบริษัท เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2566 กรณียื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2566 และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2566 นั้น 

ทั้งนี้ บริษัทขอรายงานสรุปสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนี้

ที่มาของปัญหาในการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ

ณ วันที่ 31 ส.ค.2566 บริษัทได้ออกหุ้นกู้ ซึ่งยังไม่ครบกำหนดไถ่ถอนจำนวน 7 ชุด รวม 3,360.20 ล้านบาท ต่อมาบริษัทจัดการสภาพคล่องไม่เป็นไปตามแผน ทำให้บริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้รุ่น JKN239A การผ่อนผันการชำระหนี้ รวมถึงการเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการชำระหนี้หุ้นกู้ดังกล่าวตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2566ในวันที่ 27 ก.ย.2566 ถือเป็นเหตุให้ผิดสัญญาหุ้นกู้รุ่นอื่นๆ ทั้ง 6 รุ่น นอกจากนี้ ยังถือเป็นเหตุให้เกิดการผิดสัญญาหุ้นกู้แปลงสภาพ และหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงินด้วย

ในการนี้ บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องพิจารณาจัดประเภทหนี้สินใหม่ โดยจัดประเภทหนี้สินประเภทหุ้นกู้หุ้นกู้แปลงสภาพและหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงิน เป็นหนี้สินหมุนเวียนทั้งจำนวน ณ วันที่ 30 ก.ย.2566 ทำให้หนี้สินหมุนเวียนสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนมาก ยิ่งทำให้บริษัทขาดสภาพคล่องจำนวนสูง

แนวทางแก้ไขปัญหา

- บริษัทได้ว่าจ้างที่ปรึกษาการเงินมาช่วยทำแผน : ด้วยคำแนะนำของกรรมการจาก Morgan Stanley ที่เห็นว่าบริษัทควรจ้างบริษัทที่ปรึกษาการเงินจากภายนอกที่มีประสบการณ์มาช่วยวางแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ก.ย.2566 บริษัทจึงได้แต่งตั้ง บริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิไชย ที่ปรึกษาธุรกิจ จำกัด (KPMG) ให้เป็นที่ปรึกษาการเงินของบริษัท 

KPMG ได้นำเสนอตัวเลือกของการชำระคืนหุ้นกู้แก่ตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งรวมไปถึงการนำเสนอตัวเลือกที่มีระยะเวลาการจ่ายชำระหนี้ที่อาจใช้เวลาถึง 8 ปี ขึ้นอยู่กับความสามารถในการหาแหล่งเงินทุนใหม่ โดยมีความตั้งใจที่จะนำข้อเสนอแนะของตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้ที่มีต่อแผนการชำระหนี้หุ้นกู้มาสรุปในการประชุมตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้วันที่ 8 พ.ย.2566 และในวันที่ 6 พ.ย.2566 KPMG ได้สรุปความเห็นของตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้และนำเสนอตัวเลือกในการชำระเงินคืนให้แก่บริษัท เพื่อให้คณะผู้บริหารตัดสินใจตามดุลยพินิจในลำดับต่อไป

- บริษัทได้พยายามหาเงินมาชําระหุ้นกู้ : ตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย.2566 บริษัทได้เข้าเจรจากับนักลงทุนจำนวน 3 กลุ่ม เพื่อเพิ่มทุน รวมถึงการขายสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน และหาแนวทางการทำธุรกิจต่างๆ โดยในเดือน ต.ค.2566 ที่ผ่านมา ได้มีการเจรจากับนักลงทุนต่างๆ กัน ตลอดทั้งเดือน แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่จะหาเงินทุนมาชำระหุ้นกู้ได้ บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องยุติการเจรจาในวันที่ 30 ต.ค.2566

- บริษัทขาดสภาพคล่องที่จะชำระหนี้สิน จึงยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ : แม้ในงบการเงิน บริษัทจะมีทรัพย์สินพอควร แต่ทรัพย์สิน 67% ของทรัพย์สินทั้งหมดเป็นทรัพย์สินไม่มีตัวตน ซึ่งไม่สามารถแปลงมาเป็นเงินสด เพื่อชำระหนี้ได้ทันเวลาและในการเจรจากับผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้และผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ในวันที่ 8 พ.ย.2566 ทาง KPMG ได้ร่วมกับบริษัทในการจัดการประชุมเพื่อหาข้อสรุปในการชำระคืนหุ้นกู้ 

โดยที่ประชุมเห็นว่า ผู้ถือหุ้นกู้มีแนวโน้มที่จะไม่ยินยอมการชำระคืนหนี้ยาวนานถึง 8 ปี แต่หากต้องการรับเงินคืนภายใน 3 ปี บริษัทมีความเห็นว่าจะไม่สามารถดำเนินการตามแผนดังกล่าวได้ เมื่อผลการประชุมเข้าเงื่อนไข บริษัทจึงตัดสินใจยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางตามแผนที่ได้รับจากที่ปรึกษาการเงิน (โดยไม่ได้แจ้งที่ปรึกษาการเงินก่อนที่จะยื่นคำร้องฯ) ในวันที่ 8 พ.ย.2566 ตามที่ได้รับมติจากคณะกรรมการในคืนวันที่ 7 พ.ย.2566 โดยศาลล้มละลายกลางรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทในวันที่ 9 พ.ย.2566 และบริษัทเข้าสู่สภาวะการพักชำระหนี้ทั้งหมดของบริษัท (Automatic Stay) ไปจนกว่าศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ทั้งนี้ การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดและเป็นวิธีการแก้ปัญหาเพียงช่องทางเดียวที่บริษัทมีในเวลานั้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อบริษัท และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

ขั้นตอนและกรอบระยะเวลาโดยประมาณ

JKN ขู่หากไม่ได้รับอนุมัติเข้าแผนฟื้นฟูฯ เสี่ยงปิดกิจการ-หุ้นไร้มูลค่า

สำหรับกรอบระยะเวลาดำเนินการเป็นการประมาณการเบื้องต้น ภายใต้สมมติฐานที่ดีที่สุดและภายใต้กรณีที่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลังขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ปัญหาและอุปสรรคที่อาจทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้ 

1. ความร่วมมือจากเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับการชำระหนี้ร่วมกัน
2. ความสามารถในการปรับเปลี่ยนสัดส่วนธุรกิจ จากธุรกิจ Content ไปเป็นธุรกิจใหม่ที่บริษัทได้เตรียมไว้
3. การหาพันธมิตร นักลงทุน ตลอดจนการจัดหาแหล่งเงินทุน
4. สภาพเศรษฐกิจโดยเฉพาะภายในประเทศ

ผลที่อาจเกิดขึ้นหากบริษัทไม่ได้รับการอนุมัติให้เข้าแผนฟื้นฟูกิจการ

1. ด้วยปริมาณหุ้นกู้ทั้งหมด หากเจ้าหนี้ทุกรายเรียกร้องบริษัทให้ชำระหนี้คืน บริษัทจะไม่มีเงินสดเพียงพอในการดำเนินธุรกิจอย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคู่ค้า และบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
2. บริษัทอาจจะต้องปิดกิจการหรือถูกฟ้องร้องจนไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อไป และล้มละลาย อันจะทำให้ทุกฝ่ายเสียหายอย่างมาก
3. หุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่มีมูลค่า ทำให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นได้รับผลกระทบ รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
4. หากบริษัทต้องปิดดำเนินกิจการหรือไม่สามารถดำเนินการต่อได้ จะส่งผลกระทบต่อพนักงานของบริษัททุกคน

ผลจากการยื่นคำร้องเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ

1. บริษัทยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ในวันที่ 8 พ.ย.2566 และศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท ในวันที่ 9 พ.ย.2566 ทั้งนี้ ศาลได้นัดไต่สวนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ในวันที่ 29 ม.ค.2567
2. บริษัทได้รับการคุ้มครองจากการเรียกร้องและฟ้องร้อง (Automatic Stay) จนถึงวันที่ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทำให้บริษัทสามารถเตรียมแนวทางต่างๆ เพื่อวางแผนชำระหนี้ได้
3. บริษัทจะมีเวลาเพิ่มขึ้นในการเจรจากับผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้และผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้
4. เจ้าหนี้ทุกรายได้รับชำระหนี้อย่างเป็นธรรมทุกฝ่าย และบริษัทยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ ซึ่งทำให้บริษัทยังรักษาคนและธุรกิจ อีกทั้งยังมีเวลาในการปรับตัวและพูดคุยกับคู่ค้าและเจ้าหนี้การค้าเพื่อทําธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

ผู้ทำแผนตามที่เสนอในคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ

บริษัทได้เสนอให้ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ทำแผน โดยอำนาจหน้าที่และสิทธิของผู้ทำแผนตามกฎหมายฟื้นฟูกิจการ ซึ่งจะตกแก่ผู้ทำแผนนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ทำแผน มีดังนี้

1. อำนาจหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สินของบริษัท
2. บรรดาสิทธิตามกฎหมายของผู้ถือหุ้นของบริษัท (ยกเว้นสิทธิที่จะได้รับเงินปันผล)
3. อำนาจในการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท

การทำธุรกิจคอนเทนต์ (Content) มีความเฉพาะเจาะจงและต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งบริษัทได้ดำเนินธุรกิจนี้มีผลกำไรมาโดยตลอด โดยเฉพาะการบริหารทรัพย์สินไม่มีตัวตน ทั้งการขายในประเทศและต่างประเทศ บริษัทจึงมีความพร้อมทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการทำธุรกิจ

บริษัทขอยืนยันว่า บริษัทมีเจตนาที่ดีในการชำระหนี้สินให้แก่เจ้าหนี้ทุกฝ่าย โดยการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการของบริษัทจะช่วยให้บริษัทแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกฎหมายรองรับและให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม อีกทั้งบริษัทยังสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ในระหว่างที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อการแก้ไขปัญหาของบริษัท และเพื่อสร้างผลกำไรจากการดำเนินกิจการต่อไปในอนาคตได้อย่างมั่นคง