posttoday

สแกนเป้ากำไร 7 หุ้นกลุ่มแบงก์ปี 66-67 ใครเลิศสุด?

07 มกราคม 2567

ส่องงบ 7 หุ้น “กลุ่มแบงก์” โบรกฯ คาดไตรมาส 4/66 กำไรเติบโต YoY แต่ลดลง QoQ หนุนปี 66 ซดกำไร 199,355 ล้านบาท พุ่ง 21% ต่อเนื่องปี 67 กำไรโต 7% แตะ 213,616 ล้านบาท “BBL” กำไรเด่นสุด ปี 66-67 โตเฉลี่ย 32%

งบไตรมาส 4/2566 และทั้งปี 2566 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ได้ปิดกันไปที่เรียบร้อยแล้ว และจะมีการทยอยประกาศผลการดำเนินงานภายในเดือน ก.พ.2567 โดยกลุ่มแรกที่จะประกาศงบออกมาคือ “หุ้นกลุ่มแบงก์” จะเริ่มในช่วงกลางเดือน ม.ค.2567 

ดังนั้น “โพสต์ทูเดย์”  จึงหยิบยกบทวิเคราะห์ของ บล.กรุงเศรี พัฒนสิน ซึ่งได้มีการประเมินแนวโน้มกำไรของ “หุ้นกลุ่มแบงก์” ในไตรมาส 4/2566 และทั้งปี 2566 รวมถึงทิศทางผลการดำเนินงานในปี 2567 มาเพื่อข้อมูลสำหรับนักลงทุน

ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี พัฒนสิน ประเมินว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 คาดว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ศึกษาจำนวน 7 แห่ง ได้แก่ BBL, KBANK, KTB, SCB, TTB, KKP และ TISCO จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เนื่องจาก 1) รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของ yield on loan ตามทิศทางดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น รวมทั้งสินเชื่อขยายตัว จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น และการขยายไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ 2) รับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมมากขึ้น เช่น Bancassurance เป็นต้น

ขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาส 4/2566 ลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก 1) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยฤดูกาลโดยเฉพาะไตรมาส 4 ที่จะมีการบันทึกค่าใช้จ่ายจำนวนมาก 2) ค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) จากความสามารถในการชำระคืนหนี้อ่อนแอ โดยเฉพาะกลุ่ม SME และ Retail รวมถึงธนาคารอยู่ระหว่างการบริหารพอร์ตสินเชื่อให้สะท้อนคุณภาพสินทรัพย์ที่แท้จริงมากที่สุด ก่อนมาตรการช่วยเหลือของทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สิ้นสุดลงในเดือน ธ.ค.2566 

สแกนเป้ากำไร 7 หุ้นกลุ่มแบงก์ปี 66-67 ใครเลิศสุด?

สำหรับกำไรสุทธิกลุ่มแบงก์ปี 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 199,355 ล้านบาท เติบโต 21% จากปี 2565 และปี 2567 จะอยู่ที่ 213,616 ล้านบาท เติบโต 7% จากปี 2566 ให้น้ำหนักการเติบโตมาจากรายได้รวม ทั้งรายได้ดอกเบี้ย จากได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ นอกจากนี้ สินเชื่อรวมเติบโต ซึ่งสินเชื่อธุรกิจคาดยังคงขยายตัวเด่น และคาดเห็นการรุกสินเชื่อรายย่อยมากขึ้น 

รวมไปถึงรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย เช่น กำไรจากการลงทุน (FVTPL) และ Bancassurance เป็นต้น นอกจากนี้ คาดธนาคารสามารถรักษาระดับเงินกองทุนใกล้เคียงปี 2565 สำหรับคุณภาพสินทรัพย์มองว่า NPL Ratio ปี 2566-2567 อยู่ที่ 3.8-3.9% เพิ่มจาก 2565 ที่ 3.67% เพราะโครงการช่วยเหลือทยอยสิ้นสุดลง 

ทางด้านภาพรวมการเติบโตปี 2566-2567 คาด BBL (+32% CAGR) มีกำไรโตเด่นสุด ตามด้วย TTB (+14% CAGR), KBANK และ KTB (+13% CAGR), SCB (+6% CAGR) และ TISCO (+2% CAGR) ขณะที่ KKP (-11% CAGR) เป็นธนาคารเดียวที่หดตัว

ทั้งนี้ คงน้ำหนักการลงทุน Neutral สำหรับกลุ่มแบงก์ เพราะ 1) คาดว่าไตรมาส 4/2566 จะเป็นไตรมาสสุดท้ายที่ NIM เพิ่มขึ้น หลังจากนั้น NIM มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ระดับสูงถึงปรับระดับลดลง 2) กำไรสุทธิปี 2567 คาดเติบโตช้าลงที่ 7% จากปี 2566 คาดเติบโต 21% จากปี 2565 และ ROE ปี 2567 คาดเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง คาดที่ 9.2% จากปี 2566 ที่ 9.0% เทียบกับปี 2565 ที่ 7.8%

3) ธนาคารมีความเสี่ยงเรื่องคุณภาพสินทรัพย์มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า SME และ Retail ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และมาตรการช่วยเหลือของทาง ธปท. ทยอยสิ้นสุดลง 

โดยยังชอบธนาคารขนาดกลาง-ใหญ่ (เรียงความชอบมากสุด คือ BBL, KTB มากสุด ตามด้วย TTB, KBANK และ ตามลำดับ) มากกว่าธนาคารขนาดเล็ก (ชอบ TISCO มากกว่า KKP)