posttoday

ดักทางงบ 2Q67 "หุ้นพลังงาน" น่าซื้อ หรือ เลี่ยง ?

09 กรกฎาคม 2567

รู้ก่อนซื้อ! "หุ้นพลังงาน" ซื้อได้แต่ไม่ตลอด จังหวะการเข้าถือว่าสำคัญ เปิดทริค(ไม่)ลับ 10 หุ้นมาร์เก็ตแคปส์สูงสุด PTT - PTTEP - GULF - OR - TOP - GPSC - RATCH - BGRIM - BCP - EGCO ตัวไหนงบไตรมาส 2/2567 แกร่งน่าช้อป ปันผลสวย

     เข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะเริ่มจาก "กลุ่มธนาคาร (BANK)" ที่จะประกาศงบฯก่อนใครเพื่อน ลำดับต่อมาที่นักลงทุนจับตานั่นก็คือ "กลุ่มพลังงาน" เนื่องด้วยเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำหนักสูงสุดในตลาดหุ้นไทย

     ก่อนอื่น รู้จัก "หุ้นพลังงานและปิโตรเคมี" เริ่มจาก "ธุรกิจพลังงานต้นน้ำ" พวกที่ทำขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซ (PTTEP, BANPU) จากนั้นนำไปสู่ "กลางน้ำ" ที่นำต้นน้ำมากลั่น หรือที่เรารู้จักคือ "โรงกลั่น , ปิโตรเคมี" (SPRC , IRPC , TOP , BCP) ขณะที่ IVL , GGC , SCC ไม่มีธุรกิจการกลั่น และสุดท้ายคือ "ปลายน้ำ" ที่ได้ผลิตภัณฑ์กลางน้ำมาขายใน สถานีบริการน้ำมัน (OR , PTG , BCP) 

     ขณะที่ "หุ้นโรงไฟฟ้า" สิ่งที่ต้องรู้ ข้อแรก คือ เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าแบบไหน ถ้าเป็น "ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่(IPP)" จะมีกําลังการผลิตมากกว่า 90 เมกะวัตต์ ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รองลงมาคือ "ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก(SPP)" จะมีกําลังผลิต 10-90 เมกะวัตต์ กลุ่มนี้จะผลิตไฟฟ้าขายให้ กฟผ. และขายไฟฟ้าโดยตรงให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ สุดท้าย คือ "ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กมาก(VSPP)" กลุ่มนี้จะมีกำลังการผลิตน้อยกว่า 10 เมกะวัตต์ ขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)

     ข้อสอง ปัจจัยบวกที่มีผลต่อราคาหุ้นโรงไฟฟ้า คือ "ปรับขึ้นค่าเอฟทีและค่าไฟ , ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติลดลง , การเดินเครื่องโรงไฟฟ้าใหม่ๆ , ฤดูร้อน ช่วยให้ใช้ไฟเพิ่มขึ้น และ Bond Yield ลดลงช่วยให้ต้นทุนของโรงไฟฟ้าลดลง" ทั้งหมดนี้ช่วยให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่.. ในทางกลับกันหากขยับในทิศทางตรงกันข้ามจะกดดันราคาหุ้นร่วงได้เช่นกัน

     นอกจากนี้ เรื่องของ "นโยบายภาครัฐ และธุรกิจพลังงานสะอาดที่เป็นเมกะเทรนด์โลก" คงเป็นทั้งปัจจัยบวกและลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานที่ไม่มีการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์โลก หรือ จำกัดกรอบราคาเพื่อช่วยเหลือประชาชน เป็นต้น  

     กลับมาที่ "หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG)" ในตลาดหลักทรัพย์ฯมีจำนวน 63 หุ้น ซึ่ง "ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์" เน้นเจาะลึกเพียง 10 อันดับหุ้นในกลุ่มฯที่มีมูลค่าตามราคาตลาด(Market Caps.)สูงสุด พร้อมอ้างอิงบทวิเคราะห์ที่คาดการณ์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 มีรายละเอียดดังนี้

ดักทางงบ 2Q67 \"หุ้นพลังงาน\" น่าซื้อ หรือ เลี่ยง ?

 

     ฝ่ายวิจัย บล. เอเซีย พลัส รวบรวมคาดการณ์กำไรงวด 2Q67 จาก BLOOMBERG CONSENSUS ล่าสุดออกมาแล้ว 99 บริษัท คิดเป็น 70% ของ MARKET CAP รวม พบว่ามีโอกาสที่จะเห็นกำไรงวด 2Q67F เติบโต 16.1%YOY และ 2.4%QOQ หากคัดเฉพาะหุ้น ENERG ที่กำไรงวด 2Q67 มีโอกาสเติบโตทั้ง QOQ และ YOY คือ "GULF" กำไรไตรมาส 2/67 คาดทำได้ 5,927 ล้านบาท เติบโต 69% QOQ และเติบโต 105% YOY , "GPSC" กำไรไตรมาส 2/67 คาดทำได้ 1,542 ล้านบาท เติบโต 78%QOQ และเติบโต 399%YOY , "CKP" กำไรไตรมาส 2/67 คาดทำได้ 79 ล้านบาท เติบโต Turnaround QOQ และเติบโต 4,309% YOY

     และ หุ้นพลังงานที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล(Dividend Yield)ในปีนี้สูงกว่า 4% น่าซื้อสะสมสำหรับนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศในช่วงนี้ คือ PTT ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ ลดลง -7.7% ปันผล 6.2%ต่อปี , PTTEP ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ ลดลง -2% ปันผล 5.8%ต่อปี , TOP ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ เพิ่มขึ้น 3.7% ปันผล 4.7%ต่อปี , EGCO ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ ลดลง -19.5% ปันผล 6.5%ต่อปี , RATCH ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ ลดลง -11.9% ปันผล 5.9%ต่อปี , IVL ราคานับตั้งแต่ต้นปีจนวันนี้ ลดลง -29.5% ปันผล 4.3%ต่อปี

งบไตรมาส 2/67 หุ้น PTT-BCP-EGCO

     PTT กำไรประคองตัว PTTEP ดีขึ้นแต่โรงกลั่นแย่ลง เบื้องต้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2567 ของ "PTT" ที่ 8.7 หมื่นล้านบาท ลดลง 21.9%yoy ภายใต้สมมติฐานรวมผลกระทบการปรับราคาก๊าซธรรมชาติใหม่เป็น SINGLE POOL GAS ซึ่งกระทบ PTT หากต้นทุนก๊าซฯที่ใช้ในโรงแยกก๊าซฯเพิ่มขึ้นราว 1-2 เหรียญฯต่อล้านบีทียู จะกระทบต่อกำไรของ PTT ราว 1.5-2.0 หมื่นล้านบาทต่อปี อีกทั้งได้รวมผลกระทบจากการเรียกเก็บเงิน SHORTFALL 4.3 พันล้านบาท คืนให้กับภาครัฐด้วย ซึ่งบันทึกในงบ 1Q67 แต่ยังไม่รวม SHORTFALL รอบ 2 ราว 4.7 พันล้านบาท ในประมาณการ ทำให้ประมาณการปัจจุบันของฝ่ายวิจัยอยู่ภายใต้หลักความระมัดระวังในระดับหนึ่งแล้ว

     ช่วงสั้นคาดแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 2Q67 จะประคองตัวใกล้เคียงกับงวดก่อนหน้า โดยมีกลุ่มธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้น แต่ก็จะถูกหักล้างจากอีกกลุ่มธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานดลด โดยคาดกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมผ่าน PTTEP จะมีแนวโน้มกำไรปกติในงวด 2Q67 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวด 1Q67 ตามแนวทางที่ PTTEP ให้เป้าหมายปริมาณการขายปิโตรเลียมงวด 2Q67 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 5.14 จาก 4.73 แสนบาร์เรลต่อวันตามปริมาณการโหลดน้ำมันของแหล่งในมาเลเซียที่จะเพิ่มขึ้นตามรอบโหลด และรับรู้โครงการ G1/61 กำลังการผลิต 800 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน เต็มทั้งไตรมาสถึงแม้แนวโน้มราคาขายเฉลี่ยปิโตรเลียมอาจปรับตัวลงเล็กน้อย ตามราคาก๊าซฯเฉลี่ยในงวด 2Q67 ที่จะลดลงเล็กน้อย ขณะที่กำหนดให้ราคาน้ำมันดิบทรงตัว แต่ทั้งนี้อาจถูกกดดันจากธุรกิจโรงกลั่นที่ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ 2QTD67 ที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 3.8 เหรียญฯต่อบาร์เรล สะท้อนค่าการกลั่นในปัจจุบันที่ลดลงมีนัยฯเหลือเพียง 2-4 เหรียญฯต่อบาร์เรล น่าจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงกลั่นย่ำแย่ลง QoQ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีคาดจะค่อยๆทยอยเห็นการฟื้นตัว แต่ความโดดเด่นอาจจะยังไม่เด่นชัด คงต้องรอกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคหลักเช่นจีน แต่ spread กลุ่มไม่น่าจะต่ำกว่าในงวด 1Q67

     ส่วนของทิศทางกำไรสุทธิงวด 2Q67 เบื้องต้นคาดผลกระทบกำไร/ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน รวมถึง FX & Derivatives อาจจะไม่มีนัยฯเท่าที่เกิดขึ้นในงวด 1Q67แต่คาดจะมีโอกาสบันทึกรายการพิเศษเงิน Shortfall รอบ 2 ที่ภาครัฐเรียบเก็บจาก PTT 4.7 พันล้านบาท ในงวด 2Q67 หาก PTT ได้รับหนังสือจากภาครัฐและมีมติอนุมัติจ่าย รวมถึงผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซธรรมชาติใหม่เป็น SINGLE POOL GAS ซึ่งกระทบ PTT จากต้นทุนก๊าซฯที่ใช้ในโรงแยกก๊าซปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งในงบ 1Q67 PTT ยังไม่ได้รวมผลกระทบดังกล่าวในประมาณการ โดยให้เหตุผลว่าอยู่ระหว่างการเจรจากับภาครัฐ ซึ่งหากได้ข้อสรุปในช่วง 2Q67 และต้องดำเนินการใช้ SINGLE POOL GAS ก็จะมีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ม.ค.67 จากการประเมินล่าสุดของ PTT ภายใต้ราคาก๊าซ LNG ในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบ 10-12 เหรียญฯ พบว่าผลกระทบจากการใช้ SINGLE POOL GAS ต่อ PTT อยู่ราว 1 พันล้านบาทต่อเดือน ถือเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม แต่อย่างไรก็ตามจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายสัดส่วน LNG Terminal เฟส 2 สัดส่วน 50% ให้กับ EGAT ราว 4-5 พันล้านบาท เข้ามาเป็นรายได้พิเศษช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายพิเศษที่อาจจะเกิดขึ้น

     BCP กำไรอ่อนตัวตามค่าการกลั่น เบื้องต้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2567 ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.4%qoq หนุนหลักจากปริมาณขายในทุกธุรกิจที่จะเพิ่มขึ้นในปี 2567 เทียบกับปี 2566 ภายใต้การรับรู้โรงกลั่น BSRC เต็มที่ทั้งปีส่งผลให้กำลังการผลิตติดตั้งรวมของ BCP เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.94 แสนบาร์เรลต่อวัน รวมถึงรับรู้โครงการลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯเต็มที่ทั้งปีด้วยและได้กำหนดสมมติฐานค่าการกลั่นปรับตัวลดลงมาอยู่ราว 6 เหรียญฯต่อบาร์เรล ภายใต้หลักความระมัดระวัง ถึงแม้ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ 1Q67 เฉลี่ยอยู่ที่ 7.3 เหรียญฯต่อบาร์เรล แต่ค่าการกลั่น 2QTD67 เฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 3.9 เหรียญฯต่อบาร์เรล ตามผลของฤดูกาล ภายใต้สภาวการณ์ปกติที่ค่าการกลั่นจะทำระดังสูงสุดของปีในไตรมาส 1 และจะเห็นการอ่อนตัวลงของค่าการกลั่นในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ก่อนที่จะดีดตัวอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวปลายไตรมาส 4 เช่นเดียวกับทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก กำหนดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบตั้งแต่ปี 2567 ที่ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรลลดลงจากปี 2566 ที่ 82 เหรียญฯต่อบาร์เรล (กรอบราคาให้ไว้ใน 1H67จะอยู่ราว 70-80 เหรียญฯต่อบาร์เรล และ 2H67 จะอยู่ราว 75-85 เหรียญฯต่อบาร์เรล)รวมถึงราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกคาดจะอยู่ในทิศทางเดียวกัน ปรับฐานเข้าสู่ Demand และ Supply ที่แท้จริง

    ส่วนแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 2Q67 คาดมีโอกาสปรับตัวลดลง QoQ จากธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ 2QTD67 ที่เห็นการอ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 3.5-4.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล จาก 7-8 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า 

    ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติมีโอกาสที่แนวโน้มกำไรอาจเพียงประคองตัวตามราคาก๊าซฯและราคาน้ำมันที่ค่อนข้างทรงตัว QOQ เช่นเดียวกับธุรกิจการตลาดคาดจะทรงตัวได้ใกล้เคียงกับงวด 1Q67 มีเพียงธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ถึงแม้คาดกำไรปกติจะอ่อนตัว QoQ จาก Adder ที่จะหมดต่อเนื่องอีก 53 MW แต่คาดมีการกำไรพิเศษขายโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น หนุนกำไรสุทธิเติบโตมีนัยฯได้ ส่วนธุรกิจชีวภาพผ่าน BBGI คาดกำไรปกติจะลดลง QoQ จากทั้งปริมาณขายที่ลดลงหลังผ่านพ้นฤดูท่องเที่ยว รวมถึงการเก็บสต็อกเอทานอลไว้ขายใน 2H67และราคาขายไบโอดีเซลที่คาดลดลงจากผลผลิตปาล์มที่เพิ่มขึ้น 

     "ส่วนแนวโน้มกำไรปกติ 2Q67 คาดมีโอกาสลดลง QOQ จากธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ 2QTD67 ที่เห็นการอ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 3.5-4.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล จาก 7-8 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้าประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2567 ที่ 46 บาทต่อหุ้น ยังให้น้ำหนักการลงทุนด้านพื้นฐานตามฤดูกาลของธุรกิจหลักโรงกลั่นที่ GRM แปรผันตามฤดูกาลภายใต้ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้สามารถ TRADING สะสมขณะที่หุ้นย่อตัว เพราะเชื่อว่าน่าจะเห็นจังหวะการดีดตัวของราคาหุ้นได้เป็นระลอกๆตามทิศทางค่าการกลั่น"

     EGCO ดีแต่ภาพใหญ่ไม่เด่น แนวโน้ม 2Q67 คาดกำไรปกติจะเห็นการฟื้นตัว จากการกลับมาเดินเครื่องเต็มที่ของโรงไฟฟ้าที่หยุดซ่อมบำรุงใน 1Q67จำนวนหลายแห่ง ทั้ง โรงไฟฟ้าขนอม (KEGCO 930 MW – EGCO ถือหุ้น 100%) , โรงไฟฟ้าเคซอน ฟิลิปปินส์ (QPL 460 MW – EGCO ถือหุ้น 100%) , โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP 1.3 พันMW – EGCO ถือหุ้น 50%) ขณะที่ โรงไฟฟ้าเอ็กพีซีแอล (ไซยะบุรี: 1.28 พันMW – EGCO ถือหุ้น 12.5%) กำไรลดลงเนื่องจากปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าลดลง รวมถึงเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน ความต้องการใช้ไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเบื้องต้นยังคงประมาณการ แต่หากมีผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าใดที่ไม่เป็นไปตามคาด ฝ่ายวิจัยพร้อมที่จะทบทวนประมาณการและมูลค่าพื้นฐานใหม่ โดยมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ปัจจุบันอยู่ที่ 150 บาทต่อหุ้น โดยให้น้ำหนักการลงทุนอยู่ที่การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ปีละ 2 ครั้ง เพราะทิศทางกำไรในระยะ 1-3 ปี ข้างหน้าเป็นการแสวงหาโครงการลงทุนใหม่เพื่อชดเชยโครงการลงทุนเก่าที่อยู่ช่วงท้ายของสัญญา หรือจะทยอยหมดอายุลง จึงยังไม่เห็นปัจจัยขับเคลื่อนที่โดดเด่น

 

PTTEP กำไรหลักยังแกร่ง

     บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะนำ ซื้อ PTTEP ราคาพื้นฐาน 197 บาท คาดกำไรสุทธิ 2Q24F เท่ากับ 19.8 พันล้านบาท ลดลง -6%YoY แต่ +6%QoQ โดยกำไรหลักขยายตัวทั้ง YoY และ QoQ ปัจจัยหนุน คือ ราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายเพิ่มขึ้น โดยราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายใน 2Q24F คาดว่าเพิ่มขึ้นโดยประเมินราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้น +4%YoY,+1%QoQ เป็น 47.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ปริมาณขายโต +14%YoY, +7%QoQ เป็น 5.07 แสนบาร์เรล/วัน ส่วนแนวโน้ม 2H24F ยังไปได้ดี หนุนโดยราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง และราคาขายก๊าซขยับขึ้น แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 197 บาท ทั้งนี้คาดการณ์กำไรปกติปีนี้อยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ณ ราคาหุ้นปัจจุบันมี P/E ปีนี้ตํ่าเพียง 7.5 เท่า, EV/EBITDA 3.5 เท่า, P/BV 1.0 เท่า คาดการณ์ Dividend yield ปีนี้ไว้ที่5%

 

สแกน BCP-BGRIM-RATCH-TOP-OR-GULF-GPSC-PTT

     บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า "BCP" ระยะยาวยังโตอีกไกล แม้ไตรมาส 2/67 จะเป็นช่วงปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นพระโขนง จำนวน 27 วัน (7 พ.ค.-2 มิ.ย.) อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์คาดจะไม่ส่งผลกระทบต่อกำไร 2Q67 มากนัก เนื่องจากบริษัทฯ สามารถเร่งการผลิตจากโรงกลั่นศรีราชาช่วยชดเชย อีกทั้งค่าการกลั่น ณ ปัจจุบันยังอยู่ระดับต่ำทำให้ไม่เสียโอกาสจากการปิดซ่อมบำรุงครั้งนี้หาก 1Q67 เป็นไปตามคาด กำไรปกติจะคิดเป็น 18% ของคาดการณ์ทั้งปีคงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท (+26% YoY) หนุนจากปริมาณขายน้ำมันที่เร่งตัวขึ้น และการรับรู้ประโยชน์จากการบริหารงานร่วมกับ BSRC เต็มปีครั้งแรก แนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 51 บาท ระยะสั้นมี Catalyst จากโอกาสลุ้นเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ช่วง 2H67 ขณะที่ระยะยาวบริษัทฯตั้งเป้าหมาย EBITDA ปี 2573 ระดับ 1 แสนล้านบาท เทียบกับประมาณการปี2567 ของเราที่ 5.2 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่าระยะยาวหุ้นยังมีการเติบโตอีกมาก ซึ่งจะขับเคลื่อนหลักจากปริมาณผลิตของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติระดับ 100 kboed

     "BGRIM" เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q67 ที่ระดับ 500 ล้านบาท +/- เติบโต QoQ ได้ต่อเนื่องตามอัตรากำไรขั้นต้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัวหลัง กกพ. มีการตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ระดับ 4.18 บาท/หน่วย ในงวด พ.ค.-ส.ค. แต่ต้นทุนก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มปรับตัวลงหลังแหล่งก๊าซเอราวัณกลับมาผลิตได้เต็มประสิทธิภาพ ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติลดลงจากฐานที่สูงในปีก่อนตามค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลงและค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการ COD โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 29.25 บาท/หุ้น แนะนำ "TRADING”

     "RATCH" เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q67 ที่ระดับ 1,500-1,600 ล้านบาท ฟื้นตัว QoQ ได้แรงหนุนจากการเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้า Paiton (คาดรับรู้ราว 1.5 เดือน) บวกรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าหินกอง (ขนาด 353MWe) แบบเต็มไตรมาส และการกลับมาดำเนินงานแบบเต็มประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าหงสาหลังไม่มีการปิดซ่อมบำรุง ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติลดลงจากฐานที่สูงในปีก่อนตามค่าใช้จ่าย SG&A และต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 34 บาท/หุ้น

     "GPSC" เบื้องต้นคาดกำไร 2Q67 ปรับตัวขึ้น QoQ และ YoY หนุนจากการเข้าสู่ High Season ของความต้องการใช้ไฟฟ้าในฤดูร้อน , การเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติชดเชยการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่มีข้อจำกัดจากปริมาณน้ำฝนน้อยในช่วงที่ผ่านมา ,ต้นทุนเชื้อเพลิง (ก๊าซธรรมชาติ-ถ่านหิน) ลดลงตามทิศทางราคาพลังงานในตลาดโลก , อุปทานก๊าซในอ่าวไทย(ราคาต่ำ)เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแหล่งก๊าซเอราวัณสามารถเร่งปริมาณผลิตได้ตามเป้าหมายตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.ช่วยลดสัดส่วนการนำเข้าก๊าซ LNG ที่ราคาสูงได้และการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการ Glow SPP2 Replacement (29 มี.ค.) และ IRCP-CP 3 (31 มี.ค.) ภาครัฐอนุมัติมาตรการ Single Pool Gas ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 อย่างไรก็ตาม ต้นทุนก๊าซของโรงไฟฟ้า ณ ปัจจุบัน YTD ยังไม่สะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าว เนื่องจากผู้จำหน่ายก๊าซอยู่ระหว่างรอความชัดเจนในรายละเอียดของโครงสร้างราคาก๊าซ โดยหากหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ข้อสรุป (คาดช่วงกลางปี2567) ผู้จัดจำหน่ายก๊าซจะดำเนินการปรับลดราคาก๊าซให้แก่ภาคการผลิตไฟฟ้าทันทีและอาจบันทึกส่วนลดราคาก๊าซย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีเข้ามาเป็น Upside ต่อผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญในงวดนั้นๆ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 57 บาท จากโมเมนตัมกำไรช่วงที่เหลือของปีเร่งตัวขึ้น ระยะยาวมีปัจจัยการเติบโตตามการขยายงานเครือ PTT และการลงทุนโครงการพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ นอกจากนี้มูลค่าพื้นฐานของเรามีโอกาสถูก Re-rating Valuation หาก Bond Yield ส่งสัญญาณเป็นขาลงชัดเจน

     "TOP" แนวโน้ม 2Q67 ลดลง QoQ สอดคล้องการปรับตัวลดลงของ Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูป โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ขั้นกลาง (Middle Distillate) 2QTD ดีเซล และอากาศยาน -38% QoQ และ -43% QoQ ตามลำดับ กดดันจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังในภูมิภาคตามโควต้าส่งออกของจีนเร่งตัวขึ้น และโรงกลั่นในตะวันออกกลางที่ปิดซ่อมบำรุงทยอยกลับมาผลิต 2) อัตรากำไรผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น และยางมะตอย 2QTD อ่อนแอลงจากต้นทุนวัตถุดิบ HSFO สูงขึ้น 3) ความเสี่ยงผลกระทบจากสต็อกน้ำมันหลัง 2QTD ราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวลงจาก US$84/bbl ช่วงต้นไตรมาสสู่ระดับ US$79/bbl ในปัจจุบัน

     ส่วนแนวโน้มค่าการกลั่นช่วงปลาย 2Q67 มีโอกาสฟื้นตัวจากระดับปัจจุบัน หนุนจากอุปสงค์น้ำมันเบนซินเข้าสู่ High Season ช่วง US Driving Season เดือนพ.ค.-ก.ย. ส่วนในปี 2568 หุ้นมีปัจจัยสำคัญต้องติดตามจากกำหนดการเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์หน่วยกลั่นน้ำมันที่ 4 ภายใต้โครงการ CFP (ต้นปี2568) และการทยอย COD หน่วยเพิ่มคุณภาพน้ำมันในช่วงที่เหลือของปี 2568 ขณะที่การลงทุนใน CAP (TOP ถือหุ้น 15%) ได้รับปัจจัยหนุนจากข่าวร่วมทุน JV กับ Glencore เข้าซื้อโรงกลั่น 237 kbd และโรงงาน Ethylene 1 ล้านตัน/ปีในสิงคโปร์คาดเสร็จสมบูรณ์ภายในปี2567 ช่วยเพิ่มกำลังผลิต, เกิดประโยชน์จากการทำ Backward Integration, เพิ่ม Efficiency, ลดต้นทุน, Secure วัตถุดิบ โดยจะใช้แหล่งเงินทุนภายใน และเงินกู้ยืมเป็นหลัก คงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 66 บาท ทั้งนี้ เชิงกลยุทธ์ระยะสั้นชอบ PTTEP , SPRC มากกว่าเพราะโมเมนตัม 2Q67 เติบโต (PTTEP) และค่าการกลั่นได้ประโยชน์จาก US Driving Season มากกว่า (SPRC)

     "OR" เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q67 ที่ระดับ 2,500-2,600 ล้านบาท ลดลง QoQ ตามปริมาณขายน้ำมันรวมที่มีแนวโน้มลดลงจากการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูฝน (ปริมาณการท่องเที่ยวในประเทศลดลง) และค่าการตลาดที่มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ในระดับ 0.90-1.00 บาท/ลิตร หลังราคาน้ำมันดิบในช่วง 2Q67 มีแนวโน้มทรงตัว (คาดมี Stock Gain น้อยกว่าช่วง 1Q67) อย่างไรก็ตามคาดกำไรปกติจะสามารถทรงตัวได้ YoY จากปริมาณขายและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ Café Amazon ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 20.10 บาท/หุ้น โดยฝ่ายวิเคราะห์มองว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นในระยะกลาง-ยาว จะยังคงถูกจำกัดจากความกังวลเกี่ยวกับแผนการเติบโตของบริษัทในระยะยาว หลังบริษัทยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ได้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (การเติบโตยังมาจากกลุ่มธุรกิจเดิมเป็นหลัก) จึงคงคำแนะนำ “TRADING”

     "GULF" ลุ้น New High เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q67 ที่ 4,200-4,500 ล้านบาท เติบโตทั้ง QoQ และ YoY รวมถึงมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสหลังได้แรงหนุนจาก 1)สภาพอากาศที่ร้อนในเดือน เม.ย. จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ Dispatch Factor ของโรงไฟฟ้า IPP เพิ่มสูงขึ้น 2)การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าหินกองหน่วยที่ 1 (377.3MWe) และการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 3 (662.5MW)แบบเต็มไตรมาส 3)ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มปรับตัวลงทั้ง QoQ และ YoY หลังแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณสามารถกลับมาผลิตก๊าซธรรมชาติได้เต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง และ 4)ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามการแข่งขันที่ลดลงในตลาดมือถือและตลาด Broadband คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 52.75 บาท/หุ้น โดยฝ่ายฯมองว่าราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวได้ในระยะกลาง-ยาว ตามผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและ Bond Yield ระยะ 10 ปีของไทยและสหรัฐฯที่คาดผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว

     นอกจากนี้ฝ่ายฯมองว่า GULF จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากแผน PDP ฉบับใหม่ ที่จะมีการวางเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนของประเทศและมีการเพิ่มกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนอย่างมีนัยสำคัญ (บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำที่สุดในกลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิลและมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน) คงคำแนะนำ “ซื้อ”

     "PTT" คงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 38 บาท ระยะสั้นผลประกอบการ 2Q67 ไม่เด่นจากธุรกิจการกลั่นและค้าปลีกน้ำมันของบริษัทลูกชะลอตัว ธุรกิจก๊าซของ PTT ได้รับผลกระทบจากนโยบายพลังงาน อาทิ การคำนวณต้นทุนของโรงแยกก๊าซภายใต้นโยบาย Single Pool, การปรับค่าบริการจัดหาก๊าซ และแปรสภาพ LNG เต็มไตรมาส, การปรับลดสัดส่วนถือหุ้น LNG Terminal 2