posttoday

FETCO ชี้กองทุนวายุภักษ์-ESG-การเมืองคลี่คลาย หนุนดัชนีหุ้นไทยพุ่งต่อ

09 กันยายน 2567

FETCO ชี้การเมืองคลี่คลาย บวกกองทุนวายุภักษ์ และกองทุน ESG ดึงเม็ดเงินเข้าตลาด 200,000 ล้านบาท ดันดัชนีหุ้นไทยไปต่อ แนะรัฐบาลเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ที่มีอยู่เดิม สานต่อดึงต่างชาตินักลงทุนในไทย แก้กฎหมายด้านตลาดทุน หนุนเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3%

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงถัดไปคาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากในช่วงเดือน ก.ค.2567 ทางสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ได้มีการประเมินดัชนีปลายปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,462 จุด จากกำลังซื้อที่จะเข้ามาทั้งจากกองทุนวายุภักษ์ และกองทุน ESG รวมกว่า 200,000 ล้านบาท ประกอบกับการเมืองมีคลี่คลายและชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น

“IAA ได้ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นไตรมาส 3/2567 ที่ระดับ 1,379 จุด ซึ่งตอนนี้ทะลุไปแล้ว และประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปลายปี 2567 ที่ระดับ 1,462 จุด โดยเป็นการคาดการณ์ตั้งแต่เดือน ก.ค.2567 ซึ่งตอนนั้นการเมืองยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้นทาง IAA ก็น่าจะมีการปรับเป้าดัชนีปลายปีนี้ใหม่” นายกอบศักดิ์ กล่าว 

อย่างไรก็ตาม โจทย์ที่สำคัญของรัฐบาลใหม่ คือจะกระต้นเศรษฐกิจอย่างไร มองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ให้กับกลุ่มเปราะบาง ถือว่าเป็นการช่วยเศรษฐกิจฐานรากได้ในระยสั้น 

ขณะเดียวกัน อยากให้รัฐบาลเดินหน้านำโครงการลงทุนที่มีอยู่แล้วมาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการขยายสนามบิน รถไฟ ท่าเรือ และสานต่อการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ หลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มีการชักชวนนักลงทุนต่างประเทศเข้ามา รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายด้านตลาดทุนต่างๆ

นอกจากนี้ มองว่าโลกกำลังเข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเริ่มเห็นธนาคารกลางประเทศต่างๆ ทยอยลดดอกเบี้ย เช่น ECB และแคนนาดา เป็นต้น สัปดาห์หน้า คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ย แต่จะปรับลด 0.25% หรือ 0.50% ต้องรอติดตาม 

ส่วนทิศทางดอกเบี้ยในประเทศ ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีขบวนการ ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามมองว่าจังหวะที่เหมาะสมจะลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพราะเศรษฐกิจโตต่ำ แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจเริ่มฟื้น โลกกำลังฟื้น คิดว่ากรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ส่วนหนึ่งคิดว่าดอกเบี้ยในปัจจุบันน่าจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม 

“โดยส่วนตัวคิดว่าจุดเหมาะสมของอัตราดอกเบี้ย น่าจะอยู่ในระดับ 2-2.5% ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายก็อยู่ที่ 2.5% ถ้า กนง. อยากลดก็คงลดได้ระดับหนึ่ง แต่ความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินเริ่มหมดไป เพราะส่งออกคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ท่องเที่ยวกำลังจะมา ปลายปีนี้น่าจะเห็นนักท่อเที่ยว 4 ล้านคน ลงทุนภาครัฐจะเริ่มทยอยออกมา การลงทุนจากต่างประเทศก็น่าจะเข้ามา คาดว่าเศรษฐกิยไทยโดยรวมปีนี้ จะเติบโต +/- 3% ทำให้โอกาสลดดอกเบี้ยมีไม่มาก และไม่เห็นความจำเป็นต้องลดลงต่ำกว่า 2%” นายกอบศักดิ์ กล่าว

ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนหน้า “ร้อนแรง”

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจสิงหาคม 2567 (สำรวจระหว่างวันที่ 20-31 สิงหาคม 2567)  พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 132.51 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”

ผลสำรวจ ณ เดือนสิงหาคม 2567 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล ปรับเพิ่ม 73.6% มาอยู่ที่ระดับ 144.26 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ปรับเพิ่ม 28.4% มาอยู่ที่ระดับ 144.44 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ ปรับเพิ่ม 32.0% มาอยู่ที่ระดับ 120.00 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ปรับเพิ่ม 275.0% อยู่ที่ระดับ 125.00 อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”

FETCO ชี้กองทุนวายุภักษ์-ESG-การเมืองคลี่คลาย หนุนดัชนีหุ้นไทยพุ่งต่อ

ทั้งนี้ นักลงทุน มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมา คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และสัญญาณบวกจากความชัดเจนของการเมืองในประเทศ 

ในขณะที่ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ รองลงมา คือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และ สภาวะเงินเฟ้อ

ขณะเดียวกัน หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพาณิชย์ (COMM) ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดยานยนต์ (AUTO)

สำหรับในช่วงครึ่งแรกของเดือนสิงหาคม 2567 SET Index มีความผันผวนและปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,300 จุด จากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศจากผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อการยุบพรรคก้าวไกลและการถอดถอนนายกรัฐมนตรี ถึงแม้ว่าได้จะรับข่าวดีจากการประกาศ GDP ไทยในไตรมาส 2/2567 เติบโตสูงกว่าคาด โดยขยายตัวที่ 2.3% YoY ซึ่งได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก 

อย่างไรก็ตาม SET Index ในช่วงครึ่งเดือนหลังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากการเมืองเริ่มมีความชัดเจน โดยมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 และออกแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐในการแจกเงินสด 10,000 บาท แก่กลุ่มเปราะบางในโครงการ Digital Wallet รวมถึงท่าทีของ FED ต่อการลดดอกเบี้ย โดย SET Index ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 ปิดที่ 1,359.07 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.9% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนสิงหาคม 2567 อยู่ที่ 44,404 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 6,133 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิกว่า 123,692 ล้านบาท

ทางด้านปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ นโยบายการเงินของ FED ที่คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า และสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น 

ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ผลการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลซึ่งคาดหวังว่าจะกระตุ้นการลงทุนซึ่งรวมถึงผลการออกกองทุนวายุภักษ์เพื่อกระตุ้นตลาดทุนไทย และสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือของไทยที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว