ชำแหละขุมทรัพย์ ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ในวันพ้นอก'ทรู' สู่เงื้อมมือ 'JAS'
'ChatGPT' เจาะลึก "JAS"แย่งลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษจากทรู เป็นสัญญาณขยายตัว OTTในไทย แฟนบอล เตรียมตัวรับผลกระทบค่าบริการแพงขึ้น-ข้อจำกัดการเข้าถึงเนื้อหา จากการประมูลที่ดุเดือด ชี้ปัจจัยความเชี่ยวชาญทำให้ต้นทุนระหว่างทรูกับJASแตกต่างกัน
"โพสต์ทูเดย์" ได้ตั้งข้อสังเกตถึงกรณี "JAS" (บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์) และ "ทรู" (True Corporation) ประเด็นลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เราได้ใช้ ChatGPT ในการประมวลผลได้ข้อสรุปใน6ประเด็น ดังนี้
1.การแข่งขันในการประมูลลิขสิทธิ์
การแข่งขันระหว่าง "JAS" กับ "ทรู" เกี่ยวกับลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษเกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยทรูเป็นผู้ครอบครองลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในประเทศไทยมาหลายปี ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่มีมูลค่าสูงมาก เพราะฟุตบอลพรีเมียร์ลีกถือเป็นหนึ่งในรายการกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทยและทั่วโลก
ขณะที่ทรู(ส่วนหนึ่งของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี)ครอบครองสิทธิ์ดังกล่าว JAS ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและโทรคมนาคมรายใหญ่ในไทย พยายามที่จะเข้ามาเป็นคู่แข่งในการประมูลมีเป้าหมายเพื่อขยายฐานลูกค้าของตัวเองในตลาดบริการอินเทอร์เน็ตและการถ่ายทอดสดกีฬา
2. ผลกระทบจากการแย่งลิขสิทธิ์ มี3ประการ
ผลกระทบต่อตลาดการรับชมฟุตบอล: ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของลิขสิทธิ์ อาจทำให้แฟนบอลต้องเปลี่ยนแพลตฟอร์มการรับชม ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อลูกค้าของทั้ง2บริษัท ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงในแพลตฟอร์มที่แฟนบอลคุ้นเคยแล้ว อาจทำให้เกิดความไม่พอใจจากผู้ชมที่ต้องใช้เวลาหรือเงินเพิ่มในการสมัครบริการใหม่
ราคาค่าบริการ: การแข่งขันในการประมูลสิทธิ์การถ่ายทอดสดอาจทำให้ค่าบริการเพิ่มขึ้น เนื่องจากการประมูลที่ดุเดือดจะทำให้ราคาของลิขสิทธิ์สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อลูกค้าผู้ใช้บริการ
กลยุทธ์ทางการตลาด: ทั้ง JAS และ ทรูต่างพยายามหากลยุทธ์เพื่อดึงดูดลูกค้า การที่ JAS เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้ทำให้ทรูต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ อาจจะมีการเสนอแพ็คเกจหรือบริการพิเศษเพื่อรักษาฐานลูกค้า
3. การวิเคราะห์มูลค่าทางธุรกิจ-เศรษฐกิจ
การประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก แต่กลับได้ผลตอบแทนที่ไม่สามารถคาดเดาได้แน่ชัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความนิยมของการแข่งขันในแต่ละฤดูกาล การแข่งขันกับทรูทำให้ JAS ต้องประเมินมูลค่าของลิขสิทธิ์และคาดการณ์ฐานลูกค้าของตัวเองว่าจะสามารถดึงดูดแฟนบอลมากน้อยแค่ไหน
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านเทคนิคข้อกำหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับการถ่ายทอดสดที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
4. เผยปฏิกิริยาการตอบสนองของทรู
ทรูมีประสบการณ์ในการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมายาวนาน จึงมีความชำนาญในการบริหารจัดการและการโปรโมทการถ่ายทอดสดในหลากหลายแพลตฟอร์ม เช่น ทรูไอดี (TrueID) และแพลตฟอร์มการถ่ายทอดสดผ่านเคเบิลทีวี
ในขณะที่ JAS ซึ่งอาจไม่เคยมีประสบการณ์มากนักในการจัดการลิขสิทธิ์กีฬาขนาดใหญ่เช่นนี้ จึงต้องพัฒนากลยุทธ์ที่แข็งแกร่งในการแข่งขัน ทั้งการทำโปรโมชั่นที่ดึงดูดลูกค้าและพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถรองรับการถ่ายทอดสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ผลจากการแย่งชิงลิขสิทธิ์ด้านธุรกิจกีฬา
ความพยายามของ JAS ในการแย่งชิงลิขสิทธิ์อาจสะท้อนให้เห็นว่า ผู้เล่นในตลาดโทรคมนาคมและสื่อสารในประเทศไทยต่างพยายามขยายธุรกิจเข้าสู่บริการที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดสดกีฬา ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเติบโตของการรับชมผ่านอินเทอร์เน็ตและบริการ OTT ซึ่งเป็นการบริการที่ไม่ต้องผ่านตัวกลางทีวีดั้งเดิม
การลงทุนในลิขสิทธิ์กีฬา เช่น พรีเมียร์ลีก จึงเป็นการลงทุนที่มุ่งหวังในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้จากบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าบริการสมัครสมาชิก และโฆษณาที่เกี่ยวข้อง
6. แนวโน้มในอนาคต "ทุน"จับขั้ว-เปลี่ยนแพลตฟอร์ม
การแย่งชิงลิขสิทธิ์กีฬาระหว่างบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นที่น่าสนใจ และคาดว่าในอนาคตจะมีการพัฒนาความร่วมมือระหว่างบริษัทต่างๆ มากขึ้น ความร่วมมือในลักษณะเช่นการแบ่งปันลิขสิทธิ์ หรือการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ให้บริการหลายประเภทจะกลายเป็นกลยุทธ์ที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากการแข่งขันที่สูงในตลาดการถ่ายทอดสดกีฬา.