posttoday

ศาลปกครองกลางยกฟ้องอัคราฯชี้คำสั่งแก้บ่อกักกากแร่รั่วชอบแล้ว

19 ธันวาคม 2567

ศาลปกครองกลางยกฟ้อง "เหมืองอัคราฯ" ชี้ คำสั่ง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ที่ 1 ให้แก้ปัญหาบ่อกักกากแร่รั่วชอบด้วยกฎหมาย มุ่งคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและประชาชนในพื้นที่ มีเหตุผลรับฟังได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ศาลปกครองกลางได้อ่านผลแห่งคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ส.35/2562 หมายเลขแดงที่ ส.25/2567 ระหว่าง บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) (ผู้ฟ้องคดี) กับ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ที่ 1 รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกำกับตรวจสอบกระบวนการผลิต ที่ 2 (ผู้ถูกฟ้องคดี)

โดยผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประกอบกิจการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ และเป็นผู้ถือประทานบัตรจำนวน 14 ฉบับ ในท้องที่อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร และอำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่ง ที่ อก 0506/3255 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2561 ให้ผู้ฟ้องคดีดำเนินการแก้ปัญหาการรั่วซึมของบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 มิให้มีการรั่วซึม และแก้ไขปัญหาของคุณภาพน้ำในบ่อสังเกตการณ์และบ่อดักตะกอน ขุมเหมือง บ่อรับน้ำฉุกเฉินในบริเวณพื้นที่โครงการให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 คำวินิจฉัยอุทธรณ์ ที่ 1/2562 ลงวันที่ 26 กันยายน 2562 ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี แจ้งตามหนังสือกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ อก 0202/7272 ลงวันที่ 26 กันยายน 2562

ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว

ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า เมื่อคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงการรั่วซึมของบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 ที่ได้รับแต่งตั้งจากคณะทำงานตรวจสอบและแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ในการประชุมครั้งที่ 3/2559 เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2559 มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานย่อยผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบข้อเท็จจริงการรั่วซึมของบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 และดำเนินโครงการสำรวจตรวจสอบโอกาสรั่วไหลของสารพิษจากบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 (TSF 1) ของเหมืองแร่ทองคำผู้ฟ้องคดี จังหวัดพิจิตร

โดยใช้แนวคิดจากหลักวิชาการวิทยาศาสตร์ทางด้านธรณีฟิสิกส์ ใช้วิธีการตรวจวัดความต้านทานไฟฟ้าในบริเวณพื้นดินบริเวณโดยรอบบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 ได้แก่ Trasiengntice Electromagnetice (TEM) และ Electrical Resistivity Imaging (ERI) และการใช้ข้อมูลทางธรณีเคมีและวิธีการไอโซโทป การวิเคราะห์ Stable Isotope ratio ของดิวทีเรียม ต่อไฮโดรเจนและออกซิเจน 18 ต่อออกซิเจน 16 การหาอายุน้ำและการวิเคราะห์ Stable Isotope ของ 87Sr/86Sr

กรณีจะเห็นได้ว่า การพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมจากภาคส่วนต่าง ๆ จำนวนมากและใช้วิธีการในการตรวจสอบตามหลักทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ  รวมถึงมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่โดยรอบอย่างรอบด้าน

เมื่อข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบฟังได้ว่า 

1. พบความผิดปกติทางความต้านทานไฟฟ้าที่แสดงถึงการรั่วไหลของน้ำของเหมืองแร่รั่วไหลจากบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 และพบความผิดปกติของธรณีเคมีร่วมกับไอโซโทป ซึ่งแสดงว่าน้ำจากบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 ไหลมาถึงบ่อสังเกตการณ์ 5338 และ 6691 แต่สารหนูที่พบในบ่อเฝ้าระวังดังกล่าว ไม่ได้มาจากบ่อกักเก็บกากแร่

2. จากการตรวจสอบน้ำผุดบริเวณนาข้าว (ครั้งที่ 2 ปี 2559 และครั้งที่ 3 ปี 2560) ตามที่มีการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ ไม่พบไซยาไนด์ปนเปื้อนในน้ำอย่างมีนัยสำคัญ และพบการปนเปื้อนซัลเฟตในน้ำผุดที่สอดคล้องกับผลน้ำจากบ่อเฝ้าระวังและผลการวิเคราะห์ทางเคมีชี้ว่า น่าจะเป็นน้ำรั่วไหลจากบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 ทั้งนี้มีการตรวจพบแมงกานีสในน้ำผุด (ครั้งที่ 3) ในปริมาณที่สูง 

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การรั่วไหลของบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 มีสาเหตุมาจากการประกอบกิจการของผู้ฟ้องคดีที่มิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่  

ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่งตามหนังสืออุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ที่ อก 0506/3255 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2561 ให้ผู้ฟ้องคดีแก้ไขปัญหาการรั่วซึมของบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 มิให้มีการรั่วซึมและให้แก้ไขคุณภาพน้ำในบ่อสังเกตการณ์และบ่อดักตะกอน ขุมเหมือง บ่อรับน้ำฉุกเฉินในบริเวณพื้นที่โครงการให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 อาศัยข้อเท็จจริงและกฎหมายเดียวกันกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แล้วยืนยันคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ที่ 1/2562 ลงวันที่ 26 กันยายน 2562 ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี แจ้งตามหนังสือกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ อก 0202/7272 ลงวันที่ 26 กันยายน 2562 จึงเป็นการออกคำสั่งที่มีเหตุผลที่รับฟังได้ จึงมิใช่การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย