ตลาดสินค้าสัตว์เลี้ยงดาวรุ่งดวงใหม่ในยุคเด็กเกิดน้อย
จับตา "ตลาดสินค้าสัตว์เลี้ยง"ดาวรุ่งดวงใหม่ในยุคปัจจุบันที่เด็กเกิดน้อย คนโสด - สูงวัย - LGBTQ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สังคมในปัจจุบันจะเห็นว่าห้างสรรพสินค้ารายใหญ่เริ่มมีอนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงมาเดินห้างมากขึ้น รวมถึงบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คอนโดมิเนียมก็เริ่มมีคอนโดสำหรับสัตว์เลี้ยง สายการบินในประเทศไทยเองก็เริ่มมีการอนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบิน ในเฉพาะบางไฟลท์ โรงหนังเองก็มีการเปิดรอบสำหรับ การที่นำสัตว์เลี้ยงเข้ามาดูหนังด้วยกัน รวมถึงด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพจะเห็นว่ามีร้านเพ็ทช็อป หรือคลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์เปิดขึ้นเยอะแยะมากมายแทบทุกถนน ภาพที่เห็นในทุกวันจึงแตกต่างจากภาพจำในอดีตที่เราจะพบว่าร้านอาหาร หรือ ศูนย์การค้าชั้นนำจะติดป้ายห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าไป เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
แนวโน้มของตลาดเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงนั้นเริ่มเติบโตมาอย่างต่อเนื่องในยุคที่สังคมไทยมีโครงสร้างประชากรที่แตกต่างจากอดีต ทั้งการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการอยู่เป็นครอบครัวขนาดเล็กมากขึ้น ผู้คนนิยมอยู่เป็นโสด หรือแม้แต่บางคู่แต่งงานก็มีแนวคิดไม่มีลูก รวมถึง LGBTQ ก็เป็นอีกกลุ่มที่มีส่วนผลักดันตลาดส่วนนี้ แต่อย่างไรก็ตามครับ มนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์สังคม ยังคงต้องการเพื่อนพูดคุย และมีใครซักคนรอเรากลับบ้าน ซึ่งบทบาทนั้นก็ได้ปรับเปลี่ยนไปสู่สัตว์เลี้ยง 4 ขา ให้มาทำหน้าที่ลูกรักของเกือบทุกบ้าน และก็ดูเหมือนว่าจะทำได้ดูด้วยครับ หลังๆหลายๆครั้งที่เราจะเห็นข่าวมหาเศรษฐีต่างชาติยกมรดกให้กับ สุนัข และแมว ทำเอาคนอย่างเราตาร้อนผ่าวกันเลยครับ
สำหรับตลาดสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงนั้นเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนนับจากการระบาดของโควิด -19โดยเฉพาะช่วงล็อกดาวน์ทำให้คนไม่สามารถไปมาหาสู่และพบปะกันได้ทำให้เกิดความเหงา จึงมีการรับสัตว์เลี้ยงเข้ามาเป็นอีกหนึ่งในสมาชิกครอบครัวมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้สูงอายุในเกือบทุกประเทศก็มีอายุยืนขึ้นเข้าถึงระบบดูแลสุขภาพได้มากขึ้นและเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ
แต่ในทางกลับกันกลับมีความสัมพันธ์กับลูกหลานน้อยลงหรืออยู่คนเดียวมากขึ้นหรือกระทั่งอยู่แบบไม่มีลูกหลาน จึงมีการรับสัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อนมากขึ้น อีกทั้งผู้คนปัจจุบันมีความเครียดในการเข้าสังคม มีประวัติการเป็นโรคซึมเศร้าหรือฆ่าตัวตายมากขึ้น จึงมีการใช้สัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนช่วยบรรเทาความเครียด ด้วยปัจจัยต่างๆเหล่านี้ทำให้ ส่งผลให้ตลาดเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตมากขึ้น ซึ่งสวนทางกับตลาดสินค้าเด็กที่ การเกิดของเด็กมีอัตราน้อยลงจึงเป็นการตอกย้ำ การเกิด Trend หรือการเติบโตของธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวกับสัตว์
จากเทรนด์การเติบโตของธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่มีมากขึ้นนี้เรามาดูกันว่า ผู้เล่นรายใหญ่มีใครบ้าง ซึ่งตอบเลยว่าเยอะมากครับ อย่างไรก็ดีมีตัวเลขมูลค่าตลาดรวมสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงในไทย ล่าสุดปี 2565 อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท และปี 2566 คาดว่าจะเติบโตได้ 20% รวมถึงประเทศไทยอยู่อันดับ 4 ของโลกในการเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์ เมื่อดูจากภาพธุรกิจใหญ่จะเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วไม่ต่างกับคลินิกเสริมความงามเมื่อ 10 ปีที่แล้วหรือไม่ต่างกับร้านกาแฟเมื่อ 15 ปีที่แล้วที่มีแนวโน้มการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับผู้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงควรรีบเกาะกระแสตรงนี้โดยประเมินว่ากลุ่มธุรกิจไหนที่เราน่าเข้าไป ผมขอเล่าเฉพาะเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เป็นความเชี่ยวชาญของผมแล้วกันนะครับ เราเริ่มมองจากอาหารสัตว์เลี้ยงก่อนปัจจุบันมีผู้เล่นรายใหญ่มากมายมีทั้งอาหารเม็ด อาหารเคี้ยวมีทั้งอาหารแมวเลียซึ่งถ้าเป็นผู้ประกอบการ SME น่าจะเข้าสู่ตลาดนี้ยากเพราะเป็นการทำสงครามแบบ Red ocean แต่หากมองดูตลาดที่เล็กลงกว่าอาหารสัตว์และยังไม่มีผู้เล่นรายใหญ่ เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลความสะอาดสำหรับสัตว์ เช่น สกินแคร์ สบู่ แชมพู จะเห็นว่าตลาดนี้มีผู้เล่นน้อยราย
และผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์สุขภาพของสัตว์เลี้ยงถ้ามีราคาแพง ยกตัวอย่างแค่แชมพูที่วางจำหน่ายในตลาด จะพบว่า ถูกสุดจะเป็นของเหล่าผู้ชาย แพงขึ้นมาก็เป็นแชมพูของผู้หญิง แต่แพงที่สุดคือแชมพูของเด็กๆ แต่ถ้ามามองดีๆลองเดินไปร้าน Pet Shop ดูสิผลิตภัณฑ์แชมพูที่แพงที่สุดจะเป็นของน้องหมาน้องแมว มองแค่นี้ก็จะรู้ว่าผลิตภัณฑ์สุขภาพ สกินแคร์ สำหรับสัตว์เป็นตลาด Blue Ocean ที่น่าเข้าไปจับจองช่องว่างอย่างมาก
อีกธุรกิจหนึ่ง คือ "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" หรือที่เราเรียกกันว่า "อาหารเสริม" ปัจจุบันอาหารเสริมสำหรับคนทั้งเรื่องบำรุงสุขภาพควบคุมน้ำหนัก หรือกระทั่งความงามก็มีคู่แข่งมากมาย ถ้าเราเป็นผู้เล่น รายใหม่ก็ยากที่จะลงสนามแข่งขัน อยากแนะนำให้เข้าไปเดินดูในร้าน Pet Shop ลองสังเกตดูอาหารเสริมสำหรับสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ก็ยังเป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าจากต่างประเทศและราคาแพงกว่าอาหารเสริมสำหรับคน ช่องว่างนี้จึงน่าสนใจอย่างมากสำหรับผู้เล่นรายใหม่ ที่อยากกระโดดเข้าสู่ธุรกิจสุขภาพ
ทั้งนี้ปัจจัยด้านการโฆษณา หรือการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการควบคุมของ อย. เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความเข้มงวดที่ไม่เท่ากับการควบคุมของผลิตภัณฑ์สำหรับคน เนื่องจากความเสี่ยงของความปลอดภัยต่อผู้บริโภคคน จึงทำให้เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่ผู้ประกอบการ จะสามารถทำการตลาดสื่อสารสรรพคุณได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ เรื่องช่องทางการจัดจำหน่าย หรือ การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโซเชียลและสื่อต่างๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดออนไลน์สำหรับผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงมีต้นทุนที่ต่ำกว่าและมีคู่แข่งที่น้อยกว่า รวมถึงสามารถเรื่องกลุ่มเป้าหมายที่จะมา engagement กับสินค้าของเราได้อย่างเฉพาะทางมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Facebook เราสามารถเลือกยิงสื่อโฆษณาไปเฉพาะสัตวแพทย์หรือคนเลี้ยงหมา หรือคนเลี้ยงแมว หรือคนเลี้ยงนก หรือคนเลี้ยงวัว หรือคนเลี้ยงกระรอก ทำให้การลงทุนในสื่อออนไลน์ มีค่าใช้จ่ายต่อการทำกำไรในสัดส่วนที่ดีกว่า
อีกสิ่งสำคัญ คือ ธุรกิจใหม่อาจช่วยดันให้ลูกรักของเรากลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ได้อีก จากการเป็น Brand Ambassador ให้กับสินค้าของพ่อแม่ เพราะอาหารเสริมจะขายดีก็ต้องมีดารา เช่นเดียวกับสินค้าสำหรับคน แต่แตกต่างตรงที่สินค้าสัตว์เลี้ยงไม่จำเป็นต้องใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงค่าตัวแพงค่าใช้จ่ายสูง แต่สามารถใช้น้องหมาน้องแมวที่เราเลี้ยงมาเป็น พรีเซ็นเตอร์ได้ ข้อดีอีกอย่างคือไม่มีคนหมั่นไส้พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นน้องหมาน้องแมวของเราแน่นอนครับ
บทความโดย :
"สิทธิชัย แดงประเสริฐ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัช อุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP