ตลาดหุ้นกับการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจยุคชีพจรลงเท้า สู่อนาคต 2030
เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต เราจะเห็นภาพการเปลี่ยนผ่านจากยุคหนึ่งสู่อีกยุหนึ่งอย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละยุคได้สร้างรากฐานและเป็นบันไดสู่การพัฒนาในขั้นถัดไปก่อให้เกิดการยกระดับคุณภาพ ชีวิตและสร้างโอกาสใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อน ความเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนผ่านการปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ 5 ครั้ง ตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุคดิจิทัล และกำลังมุ่งหน้าสู่ยุคหลังดิจิทัล (Post-Digital Economy) ที่ท้าทายกรอบคิดเดิมๆของระบบเศรษฐกิจและตลาดทุน
1. ยุคชีพจรลงเท้า (Hunter-Gatherer Economy): ประมาณ 200,000 ปีก่อน - 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช (BCE) เมื่อย้อนกลับไปไกลถึงประมาณ 200,000 ปีก่อน มนุษย์เริ่มต้นชีวิตในยุคชีพจรลงเท้า หรือที่เรียกว่า Hunter Gatherer Economy ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ใช้ชีวิตเรียบง่าย พึ่งพาการล่าสัตว์และเก็บพืชผลจากธรรมชาติเป็นหลัก ดำรงชีวิตเป็นกลุ่มเล็กๆ เร่ร่อนไปตามฤดูกาลเพื่อแสวงหาแหล่งอาหาร ไม่มีระบบเงินตรา เศรษฐกิจในยุคนี้จึงอาศัย การแบ่งปันหรือแลกเปลี่ยนสิ่งของกันโดยตรง โดยทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดความอยู่รอดของกลุ่มชน
2. ยุคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ (Agricultural & Pastoral Economy): ประมาณปี 10,000 BCE - 1,500 การค้นพบการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันมนุษย์สู่ยุคเกษตรกรรมและปศุสัตว์ หรือ Agricultural & Pastoral Economy ซึ่งเริ่มตั้งแต่ประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
จนถึงราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้น เนื่องจากประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องหาวิธีผลิตอาหารที่แน่นอนและเพียงพอ ส่งผลให้มนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐานถาวร สร้างหมู่บ้านและพัฒนาสู่การเป็นเมือง มีการคิดค้นระบบเงินตราเพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนสินค้า การค้าขายขยายตัว และเริ่มเกิดชนชั้นทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน รวมถึงการก่อตั้งรัฐ และอาณาจักรที่มีอำนาจในการควบคุมการผลิตและทรัพยากร
3. ยุคอุตสาหกรรม (Industrial Economy): ประมาณปี 1,500 CE – 1970 ความต้องการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเพื่อรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของการค้าระหว่างเมืองและประเทศ รวมถึงการค้นพบแหล่งพลังงานใหม่อย่างพลังงานไอน้ำได้ผลักดันให้มนุษย์ก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม หรือ Industrial Economy ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงช่วงทศวรรษ 1970
ยุคนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติ อุตสาหกรรมที่เปลี่ยนโฉมหน้าโลกอย่างสิ้นเชิง ด้วยการใช้ เครื่องจักรไอน้ำ โรงงานอุตสาหกรรม และการผลิตสินค้าจำนวนมาก ระบบแรงงานรับจ้างในโรงงานได้เข้ามาแทนที่การทำเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก เกิดการขยายตัวของเมืองอุตสาหกรรม และมีการพัฒนาระบบการเงินและการธนาคารที่ซับ ซ้อนยิ่งขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
4. ยุคดิจิทัล (Digital Economy) ความต้องการบริหารจัดการการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนาทางด้านไฟฟ้าและโทรคมนาคม รวมถึงการเพิ่มขึ้นของปริมาณข้อมูลที่ต้องประมวลผลได้นำพาโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล หรือ Digital Economy ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา ยุคดิจิทัลนี้สามารถแบ่งย่อยได้เป็นสามช่วงที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
5. ยุคหลังดิจิทัล (Post-Digital Economy - สมมติฐาน อนาคต) : คาดการณ์เกิดขึ้นหลังปี 2030 เป็นต้นไป ปัจจุบันเราอยู่ในยุคดิจิทัลที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคหลังดิจิทัล หรือ Post-Digital Economy คาดการณ์ว่าจะเริ่มชัดเจนขึ้นหลังจากปีค.ศ. 2030 เป็นต้นไป
ในยุคนี้เราอาจจะได้เห็นลักษณะเศรษฐกิจที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เน้นคุณค่าของความคิดสร้างสรรค์เหนือการผลิตแบบอัตโนมัติ เศรษฐกิจที่ผสานความสามารถของมนุษย์และ AI เข้าด้วยกันผ่านการ เชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการเสริมศักยภาพมนุษย์เศรษฐกิจยั่งยืนที่สร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนากับการรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งเศรษฐกิจอวกาศที่ขยายตัวสู่นอกโลก
ทั้งการทำเหมืองในอวกาศและการตั้งถิ่นฐานนอกโลก เมื่อพิจารณาถึงตลาดหุ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน เราจะเห็นได้ชัดว่าประเทศที่มีสัดส่วนของ Digital Economy สูงกว่า Old Economy มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำในการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของประเทศที่ตลาดหุ้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อยู่เสมอ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet (Google) และ Meta (Facebook) ที่มีมูลค่าตลาดรวมกันมหาศาล มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ในทางกลับกัน ประเทศที่ยังคงพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิม หรือ Old Economy เป็นหลัก มักจะพบกับข้อจำกัดในการเติบโตและการพัฒนาตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะเติบโตช้ากว่าและอาจประสบกับความผันผวนมากกว่าการเปลี่ยน ผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับประเทศที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
ความสำเร็จของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกยังสะท้อนให้ เห็นถึงความสำคัญของนวัตกรรมและการปรับตัวในยุคดิจิทัล บริษัทเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่ยังมีการลงทุนอย่างมหาศาลในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย
ไม่ว่าจะเป็น AI, Machine Learning, Cloud, Quantum Computing, หรือ Blockchain ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตในอนาคตการที่บริษัทเหล่านี้ สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงให้กับนักลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพและความสำคัญของ Digital Economy ในระบบเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ การเติบโตของ Digital Economy ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดแรงงานและการจ้างงาน ขณะที่งานบางประเภทอาจถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี และระบบอัตโนมัติ งานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล ข้อมูล และความคิดสร้างสรรค์กลับมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ทักษะด้านดิจิทัลจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแรงงานในยุคปัจจุบัน
ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมใดก็ตาม การลงทุนในการพัฒนาทุนมนุษย์และการยกระดับทักษะของแรงงานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันได้ในยุคดิจิทัลและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคหลังดิจิทัลในอนาคต