"บิ๊กต่าย" ฮึ่ม! ประกาศใช้ โมเดลปราจีน กวาดล้างอิทธิพลเถื่อน
"บิ๊กต่าย" ฮึ่ม! ประกาศใช้ โมเดลปราจีน กวาดล้างอิทธิพลเถื่อน ก่อนเลือกตั้ง ลั่น บ้านเล็กหรือบ้านใหญ่ จะไม่ให้มีอิทธิพล
จากกรณี “สจ.โต้ง” ถูกยิงเสียชีวิต ภายในบ้านพักของนายสุนทร วิลาวัลย์ นายก อบจ.ปราจีนบุรี คาดว่ามีมูลเหตุจูงใจมาจากการที่สจ.โต้ง ส่ง ภรรยาลงสมัครเลือกตั้งชิงตำแหน่งนายกอบจ. เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำที่ถูกมองว่าไม่เกรงกลัวต่อกฏหมาย ทำให้สจ.จอย ภรรยาของสจ.โต้งเกิดความหวาดกลัวและรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงได้ทำการขอโอนสำนวนคดีไปที่ กองบังคับการปราบปราม
ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ก็ได้สั่งการให้กวาดล้างอิทธิพลเถื่อนอย่างจริงจัง โดยเปิดเผยว่า จะให้จังหวัดปราจีนบุรีเป็นโมเดลต้นแบบ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบสจ.โต้งในจังหวัดอื่น
“จะบ้านเล็กหรือบ้านใหญ่ ไม่ให้มีอยู่แล้วอิทธิพล”
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างอิทธิพลด้วยการมีสมุนที่มีประวัติอาชญากรรม เป็นอาชญากรที่เคยต้องโทษ หรือจะมีอาวุธไว้ในการครอบครองทั้งที่มีทะเบียนและไม่มีทะเบียน จะต้องผ่านการตรวจสอบว่าใช้ในการกระทำผิดหรือไม่ ไม่ว่าบ้านเล็กบ้านใหญ่เราไม่ปล่อยทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ มีกลุ่มผู้มีอธิพลกี่กลุ่มที่ทางตำรวจต้องจับตาเป็นพิเศษ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ตอบว่า ไม่สามารถบอกได้ แต่มีข้อมูลอยู่แล้ว ถ้าท่านคิดว่าเป็นผู้มีอิทธิพลแล้ว ทำสิ่งใดที่นอกเหนือกฎหมาย เราเยี่ยมท่านแน่นอน สิ่งเหล่านี้รบกวนสังคม ต้องอยู่กันแบบมีความสุขฉันมิตร สู้กันด้วยความชอบธรรมทางด้านการเมืองดีกว่า
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตำรวจภูธรภาค 2 ร่วมกับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี และกองบัญชาการสอบสวนกลาง อยู่ระหว่างการร่วมกันพิจารณาโดยจะเสนอมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ยังไม่ทราบ เพราะต้องพูดคุยเรื่องความชัดเจนของคดี และความเป็นธรรมของผู้ร้อง
ขณะนี้กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรีได้สอบสวนไปมากพอสมควร และ เมื่อกองปราบปรามจะรับมาทำคดีต่อก็จะเป็นเรื่องของส่วนกลาง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เนื่องจากคดีนี้มีความซับซ้อนในตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีที่มีผู้อิทธิพลในพื้นที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางน่าจะมีความเหมาะสมในการทำคดี
โดยขั้นตอนจากนี้จะเข้าสู่การพิสูจน์ทราบ การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนต่อไป ทั้งการเก็บรายละเอียด DNA วัตถุพยาน เขม่าดินปืน พยานบุคคลที่ต้องสอบสวน เพื่อสนับสนุนองค์ประกอบฐานความผิดที่ได้แจ้งผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คนไปแล้ว
ส่วนกรณีที่ตำรวจภูธรภาค 2 ระบุว่าขอเคลียร์ก่อนที่จะส่งสำนวนคดีมายังกองบังคับการปราบปรามนั้น พลตำรวจเอกกิตติรัฐ กล่าวว่ามั่นใจในตัวผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี เชื่อว่าท่านจะดูรายละเอียดในสำนวนให้แน่นเสียก่อน
จากวันที่ 14-16 ธ.ค.67 ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ตำรวจภูธรภาค 2 และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรีทำงานบูรณาการเข้าตรวจค้น 57 จุดใน 3 วัน ได้อาวุธปืนกว่า 70 กระบอก
เป็นจุดที่เรามีข้อมูลในมืออยู่แล้ว สอดรับกับนโยบายที่ตนเองให้ไว้ในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และบุคคลตามหมายจับ เป็นบทพิสูจน์ได้ว่าทั้ง 3 หน่วยงาน มีความตั้งใจที่จะปราบปรามและป้องปรามผู้ที่คิดว่าตนเองมีอิทธิพลในพื้นที่แล้วจะทำอะไรก็ได้
“ซึ่งตำรวจจะไม่ยอมในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดปราจีนหรือจังหวัดใดก็ตาม จังหวัดปราจีนบุรีจะเป็นต้นแบบ ซึ่งจะต้องป้องกันและปราบปรามอย่างจริงจัง”
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ที่ตนเองรับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมา ได้เปิดยุทธการปราบปรามผู้มีอิทธิพลไปแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งผลเป็นที่น่าพอใจมาก แต่พอเกิดเรื่องที่ปราจีนบุรีก็เป็นบทเรียนที่ทำให้เห็นว่านิยามของคำว่า “ผู้มีอิทธิพล” ไม่เพียงพอกับการที่เราจะเปิดยุทธการ เพราะจะต้องมีมาตรการและวิธีการที่มากกว่านั้นอีก ซึ่งตนเองได้บอกกับทีมสืบสวนสอบสวนจะต้องมีการเรียกผู้บัญชาการมาพูดคุยกันอย่างเข้มข้น เพราะข้อมูลที่มีอยู่ในมือไม่เพียงพอแล้ว
“คนพวกนี้คิดว่าตนเองเป็นใหญ่ในสังคม มีบทบาทและอิทธิพลที่ทำให้เกิดความไม่สงบในสังคม เราต้องกำหนดมาตรการเพิ่มไปมากกว่านี้”
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวทิ้งท้าย