กรีซรับสภาพ ขาดดุลเกินเป้า เศรษฐกิจดิ่งเหวแรงเกิน
กรีซยอมรับพลาดเป้าลดการขาดดุลงบประมาณรัฐบาล อ้างเพราะเศรษฐกิจดิ่งเหวหนักกว่าคาด
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
กรีซยอมรับพลาดเป้าลดการขาดดุลงบประมาณรัฐบาล อ้างเพราะเศรษฐกิจดิ่งเหวหนักกว่าคาด ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงขานรับข่าวร้าย ด้านรัฐมนตรีคลังยูโรโซนเปิดประชุมหารือผลการประเมินกรีซของทีมตรวจสอบทรอยกา ที่ลักเซมเบิร์ก
กระทรวงการคลังกรีซเปิดเผยว่า ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายขาดดุลงบประมาณประจำปี 2554 และ 2555 ที่สหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กำหนดไว้ สร้างความวิตกกังวลให้แก่นักลงทุนที่หวั่นว่ากรีซอาจไม่รอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงระนาว ขณะที่เงินยูโรดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ
ข้อมูลยอดขาดดุลงบประมาณล่าสุดของกรีซนั้นระบุว่า ยอดขาดดุลงบประมาณในปีนี้จะอยู่ที่ 8.5% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หรือประมาณ 1.8 หมื่นล้านยูโร (ราว 7.8 แสนล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ 7.6% หรือ 1.7 หมื่นล้านยูโร (ราว 7.18 แสนล้านบาท)
ขณะที่ยอดขาดดุลงบประมาณสำหรับปีหน้าจะอยู่ที่ 6.8% ของจีดีพี หรือ 1.4 หมื่นล้านยูโร (ราว 6.15 แสนล้านบาท) ซึ่งสูงกว่าเป้าที่ 6.5%
ทั้งนี้ กรีซอ้างว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างหนักเกินกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ต้องพลาดเป้าขาดดุลงบประมาณ โดยข้อมูลจากการประชุมคณะรัฐมนตรีนั้นระบุว่า ปีนี้เศรษฐกิจกรีซจะหดตัวอีก 5.5% มากกว่าการคาดการณ์เมื่อกลางปีที่คาดว่าจะติดลบเพียง 3.8%
ด้านกระทรวงการคลังกรีซออกแถลงการณ์ว่า ยังเหลือเวลาอีก 3 เดือน ก่อนสิ้นสุดปี 2554 ดังนั้นกรีซก็สามารถลดยอดการขาดดุลให้ได้ 8.5% ของจีดีพี หากประชาชนและกลไกของรัฐให้การสนับสนุนมาตรการรัดเข็มขัด โดยล่าสุดนั้นรัฐสภากรีซเพิ่งจะอนุมัติมาตรการรัดเข็มขัดเพิ่มเติมมูลค่า 6,600 ล้านยูโรไปแล้ว
ภายใต้มาตรการดังกล่าว รัฐบาลกรุงเอเธนส์จะโยกย้ายข้าราชการ 2.8 หมื่นตำแหน่งไปอยู่ในส่วน “กองแรงงานสนับสนุน” โดยจะจ่ายเงินให้แค่ 60% ของเงินเดือนเป็นเวลา 1 ปี ก่อนที่จะปลดออก ซึ่งรัฐบาลคาดว่าวิธีนี้จะช่วยลดตัวเลขขาดดุลได้มากถึง 614 ล้านยูโรในปีแรก
อย่างไรก็ตาม จำนวนข้าราชการที่จะถูกโยกย้ายดังกล่าวนั้นต่ำกว่าที่ไอเอ็มเอฟและอียูแนะนำไว้ที่ 3 หมื่นตำแหน่ง
ด้านนักวิเคราะห์ชี้ว่า การพลาดเป้าลดการขาดดุลงบประมาณของกรีซในครั้งนี้จะทำให้กรีซจำเป็นต้องได้เงินเพิ่มเติมอีก 2,000 ล้านยูโรเพื่อที่จะได้มีเงินเพียงพอสำหรับรายจ่ายในปีนี้
“ตัวเลขเหล่านี้น่าผิดหวังอย่างยิ่งและสะท้อนให้เห็นมาตรการรัดเข็มขัดที่ผ่านมานั้นไม่ได้ผล” ยานิส วาโรฟากิส อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเอเธนส์กล่าว
ทั้งนี้ กรีซกำลังปฏิรูปเศรษฐกิจให้ได้ตามเป้าที่อียูและไอเอ็มเอฟกำหนดไว้ เพื่อแลกกับการอนุมัติเงินช่วยเหลืองวดที่ 6 มูลค่า 8,000 ล้านยูโร ซึ่งหากไม่ได้เงินก้อนนี้ กรีซจะกลายเป็นหนี้เสียทันทีเพราะมีเงินเหลือในคลังใช้ถึงเพียงแค่กลางเดือนนี้เท่านั้น โดยรัฐมนตรีคลังกลุ่มประเทศยูโรโซนได้มีการหารือกันที่ลักเซมเบิร์กว่าสมควรให้เงินช่วยเหลือกรีซหรือไม่
ที่ประชุมนั้นจะรับฟังรายงานจาก โอลลี เรห์น กรรมาธิการเศรษฐกิจและการเงินของคณะกรรมาธิการอียู หลังจากที่คณะผู้ตรวจสอบจากไอเอ็มเอฟ อียู และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ที่รู้จักกันดีในนาม ทรอยกา ได้เข้าไปประเมินการปฏิรูปเศรษฐกิจของกรีซเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยูโรโซนนั้นจะลงมติตัดสินว่าจะอนุมัติเงินให้กรีซหรือไม่ในวันที่ 13 ต.ค.
ขณะเดียวกันข่าวดังกล่าวก็ส่งผลให้ตลาดหุ้นร่วงลงทันทีในวันที่ 3 ต.ค. โดยนักลงทุนต่างเกรงว่าการพลาดเป้าครั้งนี้จะส่งผลให้กรีซนั้นไม่ได้รับเงินช่วยเหลือก้อนใหม่และต้องกลายเป็นหนี้เสียในที่สุด
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดดิ่งลง 1.78% ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงลดลง 4.38% ด้านตลาดหุ้นยุโรปก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยดัชนีแด็กส์ของตลาดหุ้นแฟรงก์เฟิร์ตในเยอรมนีร่วง 3.3% เมื่อเปิดตลาด ดัชนีซีเอซี40 ของตลาดหุ้นปารีสลดลง 2.6% และที่ตลาดหุ้นลอนดอน ดัชนีเอฟทีเอสอีร่วง 2.1%
นอกจากนั้น ค่าเงินยูโรได้อ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน โดยปรับลดลง 0.4% ในช่วงเช้าของวันที่ 3 ต.ค.ไปอยู่ที่ 1.3 ยูโรต่อเหรียญสหรัฐ ด้านราคาทองคำนั้นปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาทองคำที่ตลาดหุ้นโตเกียวช่วงเช้านั้นอยู่ที่ 1,654 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์นั้นปรับตัวลง 1.45% อยู่ที่ 78.05 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล