posttoday

กรีซเริ่มคลายกฎคุมเงินทุน

26 กรกฎาคม 2558

กรีซเริ่มผ่อนคลายการควบคุมเงินทุน ด้านรัฐบาลเตรียมเปิดเจรจาจันทร์นี้

กรีซเริ่มผ่อนคลายการควบคุมเงินทุน ด้านรัฐบาลเตรียมเปิดเจรจาจันทร์นี้

บรรดาผู้กำหนดนโยบายทางการเงินของกรีซเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมเงินทุนแล้ว โดยเปิดทางให้ธุรกิจต่างๆ สามารถชำระเงินในต่างประเทศได้ และผ่อนคลายให้ชาวกรีซสามารถนำเงินติดตัวไปได้มากขึ้น ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ

กระทรวงการคลังของกรีซ ระบุว่า ชาวกรีซที่เดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศจะสามารถนำเงินติดตัวไปได้สูงสุด 2,000 ยูโร (ราว 7.6 หมื่นบาท) เพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่ที่ 1,000 ยูโร และให้บริษัทที่ขนส่งสินค้าทางเรือสามารถถอนเงินสดได้สูงสุด 5 หมื่นยูโร/วัน (ราว 1.9 ล้านบาท)

ขณะที่ธนาคารกลางกรีซยังได้ขยายเพดานการโอนเงินไปต่างประเทศของธุรกิจจากเดิมอยู่ที่ 5 หมื่นยูโร ไปอยู่ที่ 1 แสนยูโร ซึ่งภายใต้กฎเดิมนั้นทางธุรกิจจะต้องขออนุมัติจากคณะกรรมการของธนาคารกลาง หากต้องการโอนเงินเกินเพดานที่กำหนด

ทั้งนี้ กรีซเริ่มการใช้มาตรการควบคุมเงินทุนตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ ธนาคารต่างๆ กำลังจะขาดสภาพคล่อง และกรีซได้พยายามที่จะบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือก้อนใหม่ ซึ่งประเมินว่าเป็นวงเงินสูงถึง 8.6 หมื่นล้านยูโร (ราว 3.27 ล้านล้านบาท) ในช่วงระยะเวลา 3 ปี

ในขณะเดียวกัน สำนักข่าวเอพีรายงานอ้างเจ้าหน้าที่กรีซ ระบุคาดการณ์ว่า การเจรจาในการรับเงินช่วยเหลือก้อนที่ 3 ของกรีซกับเจ้าหนี้ อันได้แก่ คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะเริ่มมีขึ้นในวันที่ 27 ก.ค.นี้ โดยกรีซได้ยื่นจดหมายเชิญไปให้ไอเอ็มเอฟแล้ว

ก่อนหน้านี้ กรีซจะเริ่มเจรจาในการรับเงินช่วยเหลือในวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ทว่าต้องล้มเหลวไป โดยเจ้าหน้าที่ของอีซีรายหนึ่งระบุว่า เป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย โดยชาวกรีซนั้นไม่พอใจต่อมาตรการรัดเข็มขัดที่เจ้าหนี้เรียกร้อง

แหล่งข่าวอีกรายหนึ่ง เปิดเผยว่า มีข้อเรียกร้องจากบรรดาเจ้าหนี้ให้กรีซปฏิรูปเศรษฐกิจให้มากกว่านี้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ระหว่างประเทศระดับสูงจะเดินทางไปเจรจาที่กรุงเอเธนส์

อย่างไรก็ตาม การเจรจาเพื่อให้ได้ข้อตกลงรับเงินช่วยเหลือนี้จะต้องสำเร็จ ก่อนที่กรีซจะต้องชำระหนี้ก้อนใหญ่ให้กับอีซีบีในวันที่ 20 ส.ค. ซึ่งเป็นวงเงินสูงถึง 3,200 ล้านยูโร (ราว 1.22 แสนล้านบาท)

ภาพ เอเอฟพี