ลุยหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ศรีลังกาประกาศเจรจาเอฟทีเอดันการค้า ตั้งเป้าเสร็จปี'63

ไทยประกาศเปิดการเจรจาเอฟทีเอศรีลังกาอย่างเป็นทางการ ตั้งเป้าเจรจาจบปี 2563 คาดช่วยดันจีดีพีไทยเพิ่ม 0.02%

น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนประเทศศรีลังกา ระหว่างวันที่ 11-13 ก.ค. 2561 โดยผู้นำทั้งสองฝ่ายได้ประกาศเปิดการเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งตั้งเป้าเจรจาเอฟทีเอไทย-ศรีลังกา ให้แล้วเสร็จภายในปี 2563

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาเบื้องต้นของกระทรวงพาณิชย์ในการจัดทำเอฟทีเอไทย-ศรีลังกา ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับไทย โดยคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศ (จีดีพี) เติบโตเพิ่มขึ้น 0.02% สินค้าศักยภาพของไทยที่จะได้รับประโยชน์จากการเจรจาเอฟทีเอ อาทิ สินค้ากลุ่มยานยนต์ เครื่องจักรและเครื่องใช้ไฟฟ้า โลหะ น้ำตาล และพลาสติก ซึ่งเชื่อมั่นว่าเอฟทีเอไทย-ศรีลังกา จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันแบบก้าวกระโดด บรรลุเป้าหมายการค้ารวมที่ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2563

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ว่าด้วยการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุทธศาสตร์การพัฒนาและการค้าระหว่างประเทศของศรีลังกา ครอบคลุมสาขาความร่วมมือ 10 ด้านที่ไทยและศรีลังกาเห็นประโยชน์ร่วมกัน ได้แก่ การลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร การประมง อัญมณีและเครื่องประดับ การท่องเที่ยว วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) การเงิน อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ

"ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่าความร่วมมือภายใต้เอ็มโอยูดังกล่าว จะช่วยยกระดับความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ รวมทั้งยังช่วยกระตุ้นการลงทุนของไทยในศรีลังกาให้เพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่า 700 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 70 ล้านดอลลาร์ ในปี 2558" น.ส.ชุติมา กล่าว

สำหรับปี 2560 ศรีลังกาเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยการค้าระหว่างไทยและศรีลังกามีมูลค่า 512.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ประมาณ 8.7% โดยไทยส่งออกไปศรีลังกา 442.3 ล้านดอลลาร์ และนำเข้าจากศรีลังกา 70.5 ล้านดอลลาร์ ปัจจุบันศรีลังกาเป็นมิตรประเทศสำคัญของไทย มีความร่วมมือใกล้ชิดทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี และเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย  6%  ต่อปี