"รถยนต์ไฟฟ้า” จุดเปลี่ยนเกมอุตสาหกรรมพลังงาน?
แม้การเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดจะเป็นไปอย่างล่าช้าจนสร้างความกังวลระหว่างการประชุม COP28 แต่หนึ่งในข้อดีที่เห็นได้จากการประชุมคือสัดส่วนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายต้องปรับอัตราคาดการณ์การใช้น้ำมันของโลกว่าจะแตะจุดพีคในช่วงใด โดยองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าอัตราการใช้น้ำมันทั่วโลกจะแตะจุดพีคช่วงปลายทศวรรษนี้ที่ 103 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ในปี 2017 ว่าอัตราการใช้น้ำมันทั่วโลกจะแตะจุดสูงสุดที่ 105 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2040”
Apostolos Petropoulos ผู้สร้างแบบจำลองด้านพลังงานของ IEA กล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นตัวเปลี่ยนเกมครั้งใหญ่ ที่ช่วยให้ภาคการขนส่งลดอัตราความต้องการน้ำมันลงอย่างมาก ซึ่งภาคการขนส่งถือเป็นตัวแปรหลักในการขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันทั่วโลก
ตามข้อมูลของ IEA ภาคการขนส่งมีส่วนในการบริโภคน้ำมันถึง 60% ของโลก ขณะที่สหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวมีส่วนถึง 10% อย่างไรก็ตาม คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลงจากการรุกคืบของรถยนต์ไฟฟ้า ที่จะช่วยลดความต้องการน้ำมันทั่วโลกลง 5 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2030
ปัจจุบันยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกคิดเป็น 13% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 40%-45% ภายในปลายทศวรรษนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากนโยบายอุดหนุนของรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่มุ่งบรรลุข้อตกลงปารีสปี 2015 ในการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ก่อนยุคอุตสาหกรรม
แม้ตัวเลขดังกล่าว จะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง แต่ IEA ระบุว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าต้องเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ หรือ 70% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดทั่วโลกภายในปี 2030 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของข้อตกลงปารีส
อย่างไรก็ตาม บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง General Motors, Ford และ Stellantis เพิ่งชะลอแผนการผลิตไปจากต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่สูงจนส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ
ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่จับต้องได้
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้ความเห็นว่า คนส่วนใหญ่จะหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นก็ต่อเมื่อมีราคาที่จับต้องได้ รวมถึงมีสถานีชาร์จที่ครอบคลุม ซึ่งในปัจจุบัน ประเทศจีนถือว่ากุมความได้เปรียบในทั้ง 2 ด้าน
ในช่วงกลางปี 2023 ราคารถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยในจีนอยู่ที่ 33,964 ดอลลาร์ หรือราว 1.2 ล้านบาท ขณะที่ราคารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ถูกที่สุดในจีน มีราคาต่ำกว่ารถยนต์สันดาปถึง 8% โดยส่วนหนึ่งมาจากเงินอุดหนุนจากภาครัฐ และทรัพยากรแร่ต่างๆที่จีนมีอยู่ในประเทศซึ่งจำเป็นต่อการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
ขณะเดียวกัน ราคารถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยของสหรัฐฯ อยู่ที่ 53,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่ารถยนต์สันดาปถึง 5,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.8 แสนบาท
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังตามหลังจีนในด้านจำนวนสถานีชาร์จ โดยสถานีชาร์จสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ มีอยู่ราว 52,000 แห่ง ส่วนในยุโรปมีอยู่ราว 400,000 แห่ง ขณะที่จีนมีสถานีชาร์จสาธารณะ 1.2 ล้านแห่ง
IEA คาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น 50% ภายในปี 2030 จากเทคโนโลยีที่ได้รับการปรับปรุงแล้วและมีส่วนทำให้ราคาถูกลง รวมถึงผู้ใช้อยากหลีกเลี่ยงสถานการณ์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ผันผวน
ทั้งนี้ รถยนต์ไฟฟ้าในจีน ถือว่ากินส่วนแบ่งทางการตลาดไปแล้วกว่า 1 ใน 4 และคาดว่าในอนาคต จีนจะเป็นผู้นำอุตสาหกรรม EV ในระดับโลก