อุทกภัยร้ายแรงในรอบ 2 ทศวรรษเพิ่มแรงกดดันทางการคลังในยุโรปกลาง

สหภาพยุโรปให้คำมั่นว่าจะบริจาคเงินหลายพันล้านยูโรเพื่อช่วยให้ยุโรปกลางฟื้นตัวจากน้ำท่วมรุนแรง ตามที่คณะกรรมาธิการยุโรป เออซูลา ฟอน เดอร์ ไลเอน กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี ในขณะที่น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดที่กระทบยุโรปกลางในรอบอย่างน้อยสองทศวรรษ ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง สะพานพัง รถยนต์จมอยู่ใต้น้ำ และทำให้เมืองต่างๆ เต็มไปด้วยโคลนและเศษซาก

น้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากฝนตกหนักที่เริ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และกินเวลานานหลายวัน ทำให้แม่น้ำหลายสายท่วมตลิ่งในหลายพื้นที่ จากหย่อมความกดอากาศต่ำที่ชื่อ "บอริส" ทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ โดยน้ำท่วมเริ่มต้นขึ้นในออสเตรียและสาธารณรัฐเช็ก จากนั้นลามไปยังโปแลนด์ โรมาเนีย และสโลวาเกีย และจากนั้นก็ลามไปยังเยอรมนี ฮังการี และอิตาลี จนถึงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2567 มีรายงานผู้เสียชีวิต 26 ราย และมีผู้ต้องอพยพหลายพันคน

น้ำท่วมครั้งนี้ สร้างความเสียหายรุนแรงต่อเศรษฐกิจที่กำลังเปราะบาง สาธารณรัฐเช็กและโปแลนด์ ซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากน้ำท่วม กำลังประเมินความเสียหาย โดยจากการประมาณการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานอาจสูงถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในสองประเทศนี้เพียงลำพัง รัฐมนตรีคลังโปแลนด์ระบุว่า เงินช่วยเหลือจำนวน 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากกองทุนสหภาพยุโรปจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูจากน้ำท่วมได้บางส่วน แต่ไม่ทั้งหมด

ความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับสภาพอากาศรุนแรงกำลังเพิ่มแรงกดดันต่อสถานะการคลังของรัฐในภูมิภาคที่ยังคงเผชิญกับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่ยังส่งผลกระทบระยะยาว และการพุ่งสูงของอัตราเงินเฟ้อหลังจากรัสเซียบุกยูเครนในปี 2565

สเตฟเฟน ดิค รองประธานอาวุโสที่มูดี้ส์ เรตติ้งส์ กล่าวว่า แม้ภูมิภาคนี้จะดูเหมือนมีความพร้อมมากกว่าในอดีตที่จะจัดการกับน้ำท่วม แต่ก็ต้องรับมือกับเหตุการณ์และผลกระทบทางเศรษฐกิจบ่อยครั้งขึ้น

น้ำท่วมส่งผลกระทบต่อภูมิภาค ที่กำลังเผชิญปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอของเยอรมนี ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของการส่งออก 20-30% ของยุโรปกลาง โดยอาจมีผลกระทบระยะยาวต่อการคลังของหลายประเทศ