บทเรียนจาก "เหมา เจ๋อตุง" สู่จุดยืนแข็งกร้าวของจีนต่อสหรัฐฯ
สงครามการค้าอาจเป็นข่าวร้ายสำหรับ “สี จิ้นผิง” แต่ในเชิงอุดมการณ์และการเมืองแล้ว ถือเป็น "ของขวัญ" ชิ้นงาม สู่จุดยืนแข็งกร้าวของจีนต่อสหรัฐฯ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เหมา หนิง (Mao Ning) อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศจีน ได้โพสต์คลิปวิดีโอขาวดำที่แม้ความคมจะไม่ชัดเจนนัก แต่เต็มไปด้วยนัยยะสำคัญทางประวัติศาสตร์
คลิปดังกล่าวบันทึกภาพ “ประธานเหมา เจ๋อตุง” กล่าวสุนทรพจน์ในปี 1953 เพื่อแสดงจุดยืนท้าทายและต่อต้านสิ่งที่เขาเรียกว่า "การรุกรานของสหรัฐฯ ในเกาหลี"
ย้อนกลับไปในครั้งนั้น คิม อิลซุง ผู้นำเกาหลีเหนือและผู้ก่อตั้งราชวงศ์คิมซึ่งสืบทอดอำนาจมาถึงรุ่นที่สาม ได้นำทัพบุกเกาหลีใต้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
เมื่อความพยายามในการรวมชาติเกาหลีด้วยกำลังทหารของคิมทำท่าจะล้มเหลว จีนได้ส่ง "อาสาสมัคร" เกือบ 3 ล้านคนเข้าร่วมสงคราม และสามารถยันสถานการณ์ไว้ได้จนเกิดภาวะหยุดยิงที่ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
สัญลักษณ์จากภาพประวัติศาสตร์นี้ชัดเจนยิ่งนัก ในขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังโอ้อวดกับผู้สนับสนุนในวอชิงตันว่าผู้นำต่างชาติกำลังต่อคิว "จูบก้น" เขา
รัฐบาลจีนกลับประกาศจุดยืน "สู้จนถึงที่สุด"
ทรัมป์อาจกำลังจะได้เรียนรู้ว่าการดูหมิ่นปักกิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องฉลาด ยิ่งเขาเล่นเกมแข็งกร้าวเท่าไร ปักกิ่งก็จะตอบโต้กลับอย่างแข็งกร้าวยิ่งขึ้นเท่านั้น
ความมุ่งมั่นที่จะ "สู้จนถึงที่สุด" นี้ มีรากฐานมาจากทั้งประวัติศาสตร์ร่วมสมัยและความกังวลต่ออนาคตของจีน นับตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ใช้กำลังทหารปราบปรามกลุ่มนักศึกษาผู้ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989
โฆษณาชวนเชื่อของพรรคได้ตอกย้ำแนวคิดเรื่อง "ศตวรรษแห่งความอัปยศ" (Century of Humiliation) เข้าไปในจิตสำนึกของชาวจีนรุ่นแล้วรุ่นเล่า
คำนี้หมายถึงช่วงเวลาระหว่างสงครามฝิ่นครั้งแรก (1839-1842) จนถึงปี 1949 ที่พรรคคอมมิวนิสต์ชนะสงครามกลางเมืองในจีน
เป็นยุคที่มหาอำนาจจักรวรรดินิยมตะวันตกบีบบังคับให้ราชวงศ์ชิงที่อ่อนแอต้องยอมจำนนในเรื่องการค้าและสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ตามมาด้วยการล่มสลายของราชวงศ์ และการรุกรานของญี่ปุ่น
นับตั้งแต่ปี 1989 "ศตวรรษแห่งความอัปยศ" กลายเป็นแกนกลางของสารที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้ปลุกเร้าลัทธิชาตินิยมที่เจ็บแค้น
พร้อมคำมั่นสัญญาต่อประชาชนว่าพรรคจะทำให้จีนมั่งคั่งและทรงอำนาจ เพื่อที่จะไม่ถูกมหาอำนาจต่างชาติรังแกได้อีก
คำสัญญานั้นได้รับการเติมเต็มไปไม่น้อย โลกาภิวัตน์ การเข้าถึงตลาด และการลงทุนจากต่างประเทศ ได้ขับเคลื่อนการเติบโตในระดับเลขสองหลักนานถึงสามทศวรรษ
เปลี่ยนจีนจากสังคมชนบทที่ยากจนกลายเป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมในเมือง
แม้ว่าผลประโยชน์จากการเติบโตจะยังคงกระจายตัวไม่เท่าเทียมกันก็ตาม จีนในวันนี้ไม่ใช่แค่โรงงานโลกค่าแรงต่ำที่ผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มน้อยเหมือนในทศวรรษ 1990 อีกต่อไป
แต่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในเทคโนโลยีขั้นสูงและห่วงโซ่อุปทานหลายด้าน รวมถึงเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เทคโนโลยีระดับกลาง และการป้องกันประเทศ
ความท้าทายของจีนในปัจจุบันคือการนำพาประเทศฝ่าคลื่นลมที่รุนแรงขึ้นเพื่อรักษาการเติบโตต่อไป
เศรษฐกิจกำลังชะลอตัว วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ทำให้รัฐบาลท้องถิ่นจมอยู่กับหนี้สินและขาดรายได้
ภาคอุตสาหกรรมผลิตสินค้าออกมามากเกินกว่าที่ตลาดในประเทศจะบริโภคได้ แม้รัฐบาลจะพยายามกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศมานานนับทศวรรษ
การผลิตล้นเกินนี้นำไปสู่วงจรการแข่งขันตัดราคาอย่างดุเดือด และก่อให้เกิดแรงต้านจากคู่ค้าของจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมองว่าจีนกำลัง "ทุ่มตลาด" สินค้าราคาถูกในตลาดต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ก็ทำให้ประชาชนชาวจีนเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งเส้นเรื่องในโฆษณาชวนเชื่อของจีนที่กำลังเข้ามาช่วยพยุงภาวะผู้นำที่กำลังเผชิญแรงกดดัน นั่นคือ
การแข่งขันที่ยาวนานกับสหรัฐอเมริกาเพื่อแย่งชิงอำนาจและอิทธิพลระดับโลก และวาทกรรมที่ว่าสหรัฐฯ มีเป้าหมายที่จะ "สกัดกั้น" จีนและขัดขวางการผงาดขึ้นมาของจีน
หลักฐานสนับสนุนแนวคิดนี้มีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความเป็นปรปักษ์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากทั้งสองพรรคการเมืองในวอชิงตันตลอดทศวรรษที่ผ่านมา การทบทวนนโยบายกลาโหมและความมั่นคง
หลายครั้งที่ระบุว่าจีนเป็นภัยคุกคามทางยุทธศาสตร์หลักของอเมริกา การจำกัดการขายเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงให้แก่จีนเพื่อชะลอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และล่าสุดคือ สงครามการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์
ในทางเศรษฐกิจ สงครามการค้าอาจเป็นข่าวร้ายสำหรับสี จิ้นผิง แต่ในเชิงอุดมการณ์และการเมืองแล้ว ถือเป็น "ของขวัญ" ชิ้นงาม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา iPhone และ Tesla เคยเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะของชนชั้นกลางชาวจีนที่ร่ำรวยขึ้น แต่ในวันนี้ การขับรถยนต์ไฟฟ้า BYD และการใช้โทรศัพท์มือถือ Xiaomi ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจในความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของชาติ
ไม่ต่างจากขบวนหุ่นยนต์เต้นรำที่สร้างความบันเทิงในรายการพิเศษทางโทรทัศน์ช่วงตรุษจีนเมื่อเดือนมกราคม หรือข่าวความสำเร็จล่าสุดในโครงการอวกาศของจีน
และหากช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับคนงานจีนที่ถูกเลิกจ้าง หรือบัณฑิตจบใหม่ที่กำลังหางาน
สี จิ้นผิง ก็สามารถชี้นิ้วไปที่ทรัมป์และกล่าวโทษว่าเป็นเพราะการรุกรานรอบใหม่จากสหรัฐฯ พร้อมทั้งปลุกระดมคนทั้งชาติให้ลุกขึ้นต่อต้าน
ความยากลำบากที่เกิดจากรัฐบาลบริหารเศรษฐกิจผิดพลาดถือเป็นปัญหาทางการเมือง แต่ความยากลำบากที่เกิดจากศัตรูภายนอกที่มุ่งร้าย สามารถเปลี่ยนเป็นแต้มต่อทางการเมืองได้อย่างง่ายดาย
ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก การขึ้นภาษีศุลกากรและข้อจำกัดทางการค้าได้กระตุ้นให้จีนหันมาพึ่งพาตนเองและพัฒนานวัตกรรมภายในประเทศมากขึ้น
การเผชิญหน้ารอบใหม่นี้จะเผยให้เห็นถึงระดับของการพึ่งพาซึ่งกันและกัน และความเจ็บปวดที่แต่ละฝ่ายสามารถสร้างให้แก่กันได้
ผู้นำจีนไม่ได้เป็นฝ่ายเลือกที่จะสู้ แต่ตอนนี้พวกเขาเชื่อว่ามีผลประโยชน์มากมายที่จะได้รับจากการแข่งขันอันดุเดือดเพื่อชิงอิทธิพลระดับโลกครั้งนี้