กระจกชีวิต
หากมนุษย์ทุกคนบนโลกกว้างใหญ่ใบนี้เปิดตา เปิดใจมองเห็นแต่สิ่งที่เราเชื่อ เราชอบ ถูกจริตเราเท่านั้น
โดย...ดร.วรัญญา สะอาดเอี่ยม ริเท็นนิส ภาพ : คลังภาพโพสต์ทูเดย์
หากมนุษย์ทุกคนบนโลกกว้างใหญ่ใบนี้เปิดตา เปิดใจมองเห็นแต่สิ่งที่เราเชื่อ เราชอบ ถูกจริตเราเท่านั้น หรือเปิดหูรับฟังเฉพาะสิ่งที่เราต้องการได้ยิน คำว่าความจริง หรือโลกแห่งความจริงของเขาเหล่านั้น คงเป็นความจริงที่เป็นได้เพียงความเป็นจริงเฉพาะส่วนบุคคล คือความจริงมุมมอง การรับรู้ ผ่านประสบการณ์ ความคิด ความเชื่อในชีวิต ซึ่ง ณ ที่นี้ ไม่ว่าการมองโลกในลักษณะของความต้องการจากใจคับแคบหรือหัวใจที่กว้างใหญ่ขยายกว้าง จุดสำคัญไม่ใช่การชี้นำ ทำลายให้ฝั่งใดถูกและอีกฝั่งต้องรับความผิด
แต่จุดประสงค์ของการเชื่อมโยงหัวใจที่ยิ่งใหญ่ผ่านการใช้ดวงตา ดวงใจ หูที่รับฟัง และทุกประสาทที่มนุษย์ธรรมดาล้วนมีสัมผัสให้เต็มศักยภาพ ให้ได้เกิดคุณประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นบนหนทางที่สร้างสรรค์และสดใส เป็นเสมือนการมีกระจกชีวิตสะท้อนมุมมอง ความดีงาม ผ่านการกระทำ คำพูด ความคิด การเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับทุกคน ทุกชาติ ทุกชนชั้น ในระดับใดๆ ก็ได้ เพราะในท้ายที่สุดทุกสิ่งที่เราคิดต่อตนเองและผู้อื่นนั้นเองที่เป็น “The Mirror” กระจกชีวิตที่สะท้อนอนาคตคนทุกคนบนโลกในแบบที่เขาเหล่านั้นสะสมความคิด พูด ทำ ในแบบของเขาไว้จนกระทั่งความสุข ความดีงาม ความมั่งคั่งร่ำรวยหรือหลายๆ สิ่งที่อาจสะท้อนกลับมาในมุมที่ตรงกันข้ามกัน เช่น ความทุกข์ ความยากจน การคงอยู่ในที่เดิมๆ ซึ่งไร้ซึ่งแรงบันดาลใจ ขาดความก้าวหน้า ขาดความสดใส
ทุกผลลัพธ์เหล่านี้ไม่ได้มาจากแหล่งอื่น สถานการณ์อื่น ผู้อื่นเป็นตัวหลัก เป็นตัวผลัก แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ล้วนเป็นกระจกสะท้อนชีวิต เป็นกระจกสะท้อนจิตใจ เป็น The Mirror สะท้อนการเป็น Being ที่มี Vibration คือความสั่นสะเทือนผ่านทุกมุมมอง ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติของเขาต่อตนเอง และต่อผู้อื่นว่าสูง ต่ำ เท่าใด อย่างไร ชีวิตเราเป็นเช่นไร ส่วนหนึ่งนั้นสามารถสำรวจตนเองได้โดยง่าย โดยผ่านกระจกชีวิต The Mirror ที่ไม่ต้องมีไว้คอยสอดส่องดูใครๆ ทว่าใช้ส่องใจตนให้ใส ให้สูงส่ง ทรงพลัง สร้างสรรค์และงดงาม
นิทานสมัยเด็กน้อยที่มีชื่อเสียงมายาวนานที่หลายคนคุ้นเคยและรู้จัก ประโยคยอดฮิตสั้นๆ ที่แม่มดใจร้ายมุ่งทำลายและอิจฉา แม่มดหมั่นถามกระจกว่า “กระจกวิเศษจงบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี” ประเด็นแรกกระจกชีวิตไม่ได้อยู่นอกกายเหมือนกระจกวิเศษของแม่มด ไม่ได้เป็นวัตถุสิ่งของที่ตกแตกได้ แต่แท้จริงกระจกที่ควรถาม คือ กระจกสะท้อนความคิด ที่มีพร้อมอยู่แล้วภายในใจเราทุกๆ คน
คำตอบมีอยู่ว่า คนเราทุกคนเกิดมาล้วนมีสิ่งสำคัญ สิ่งมหัศจรรย์ที่เรียกว่าชีวิต หยุดเฝ้ามอง เปรียบเทียบ แข่งขัน กดดันตนเอง เพราะความเก่ง ความดี ของผู้อื่น แต่ใช้ทุกลมหายใจและเวลาอันมีค่าที่เรามีในชีวิตเราทั้งหมด หันมาใส่ใจ ให้คุณค่า ใช้เวลาในการส่องใจให้ใส และหมั่นทำความเข้าใจในการใช้ The Mirror หยุดส่องชีวิตใครๆ และหันมาใช้กระจกชีวิตส่องชีวิตตนเองให้สูงส่ง มีความสุข ทรงพลัง ทิ้งความดีงาม ร่องรอยการเชื่อมโยงในทุกความคิด การกระทำ ความสัมพันธ์ ต่อครอบครัว ต่อผู้อื่น ต่อเพื่อนร่วมงาน และทุกๆ สายสัมพันธ์รอบๆ ด้าน ซึ่งต้องผ่านการส่องกระจกชีวิตให้ตนเองสดใสให้ได้เป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ คือ ส่องใจปรับเปลี่ยนทุกมุมมองความคิดให้อ่อนโยน เมตตา ต่อตนเองพร้อมสรรพขึ้นมาก่อน
เมื่อมีสายตาในการมองตนเองด้วยความรักและความรู้สึกเป็นที่รัก สำคัญและมีคุณค่า จึงไม่แปลกที่กระจกชีวิตตนเองจะสดใส จนมีสายตาที่สามารถมองเห็นด้านดีจากทุกด้านแห่งความจริง หรือประวัติศาสตร์ในอดีตที่เป็นเบื้องหลังของใครๆ ด้วยความเข้าใจ เข้าถึง ยอมรับ ปล่อยวาง ไม่ให้ร้าย แต่กลับเห็นอกเห็นใจและจริงใจในการชื่นชม
ซึ่งทำให้ความจริงในหัวใจของผู้ที่มีความคิดติดกับดักตนเอง คือมีชีวิตอยู่ในกรอบของการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น กรอบที่มีรากเหง้าที่ใช้ความกลัว เป็นเครื่องนำใจ แทนความรัก ยอมรับ อภัย เมตตา รื่นรมย์ พึงพอใจในตนเอง และยกย่องผู้อื่นแห่งการเปรียบเทียบ เขาเหล่านี้จึงมักเสียเวลาตั้งคำถามว่า ทำไมบางคนที่เขาคิดว่าไม่ดี ไม่เก่งเพียงพอเหล่านั้นจึงมีชีวิตที่ยังดูดี หรือที่ดีนั้น พวกเขาดีจริงหรือ หรือเขาเหล่านั้นสร้างภาพ ทั้งๆ ที่บางคนดูเหมือนยังคงต้องดิ้นรนอยู่ร่ำไป
คำถามที่เปรียบเสมือนกระจกส่องผู้อื่นอย่างไม่หยุดหย่อน ในหลายๆ ครั้งไม่ได้นำมาซึ่งคำตอบที่สร้างสรรค์ และความสุข ความสบายใจ เพราะเป็นการตั้งคำถามผิดตั้งแต่แรกนั่นเอง
หากตอนเช้าตื่นขึ้นมาก่อนออกมาทำงานทุกคนอาจจะต้องส่องกระจก กระจกที่ให้คำตอบในชีวิตในการมองโลกที่ทรงพลังที่สุด คือ กระจกส่องใจตนเอง เข้าใจในความมี ความขาด ปม หรือพลังต่างๆ ที่เราใช้กระจายผ่านพฤติกรรมของเราต่อตัวเรา ต่อผู้อื่น ต่อครอบครัว จนถึงประเทศชาติและโลกใบนี้ของเราผ่านทุกมุมมองที่เรามีต่อตนเองและผู้อื่นในการดำรงชีวิต
วันเวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความเปลี่ยนแปลงที่สร้างสรรค์มักมาจากการขับเคลื่อนในชีวิต มนุษย์ที่ใฝ่ฝันการมีชีวิตแห่งการอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความสุข ความรัก การร่วมมือ ความเข้าใจ และการตั้งคำถามที่มาจากระดับการเติบโตจากภายใน
กระจกที่ดีที่สุดที่มนุษย์แต่ละคนควรใช้ คือ กระจกที่ส่องตนเอง กระจกส่องชีวิต กระจกส่องใจในการนำพลังการทำความเข้าใจตนเองให้เข้าถึงอย่างต่อเนื่อง จนส่งเป็นผลลัพธ์และการเสริมศักยภาพให้ตนเองได้ก้าวหน้า มีความสงบสุข ในใจ เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้ คือ ใช้การส่องกระจกนั้นส่องตนเอง และหยุดเสียเวลาส่องจับผิดผู้อื่น แต่สรรค์สร้างโลกแห่งความจริงที่ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ได้ในแบบฉบับและมีเอกลักษณ์เฉพาะตน
ทุกชีวิตทุกคนบนโลกใบนี้ต่างล้วนมีประสบการณ์ มีอดีตทั้งสดใส และอาจมีอดีตในทางปวดใจ หรืออดีตมากมายในทางตรงกันข้าม ไม่ว่าจะให้ป้ายติดว่า ดี ถูกใจ ไม่ถูกใจ หรือร้าย แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในชีวิตล้วนเป็นไปเพื่อให้เราทุกคนเติบโตและก้าวหน้าได้ในหนทางที่มีคุณค่า มีประโยชน์ และงดงาม เพียงหมั่นส่องทุกการเดินทางภายในผ่านความคิด คำพูด การกระทำ ในชีวิตด้วยกระจกชีวิตที่เต็มไปด้วยมุมมองต่อตนเองและผู้อื่นในทางที่สร้างสรรค์
เพราะบางเรื่องที่ถูกยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงจากคนกลุ่มหนึ่ง เป็นสิ่งที่ถูกต้องของคนกลุ่มหนึ่ง แต่กับอีกคนหนึ่ง อีกครอบครัวหนึ่ง และอีกสังคมหนึ่ง อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกเขาถามกลับมาว่า นี่หรือมันคือความจริงของคุณ?
จุดยืน หรือ Stand point ของการใช้กระจกชีวิตที่เราทุกคนมีอยู่แล้วในตนเองเพื่อลดความขัดแย้งในตนเองให้น้อยลงของบทความในตอนนี้ คือ การลดความไม่พอใจในตนเอง ในผู้อื่น และความไม่พึงพอใจในเหตุการณ์ต่างๆ อย่างไร้ทิศทางที่ทำให้ชีวิตเราลดพลังสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่ และดีงามเพื่อทิ้งความรักที่มากมายไว้ให้กับโลกภายในของเรานั่นเอง
กระบวนการลงมือทำจริงในการหยุดใช้กระจกส่องใคร แต่กลับมาใช้กระจกส่องใจนั้นยังนำ “ความรัก” ในตนเองเป็นกระจกส่องชีวิตที่สะท้อน “แก่นแท้ที่อยู่ภายในตัวเราในตัวผู้อื่น คนอื่นๆ และพวกเขา ให้เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวเพราะทุกคนใช้ The Mirror กระจกส่องชีวิตที่เรียกว่า ความรักและมุมมองแห่งทัศนคติแห่งแสงสว่าง” กันทุกๆ คน
เกี่ยวกับผู้เขียน
ดร.วรัญญา สะอาดเอี่ยม ริเท็นนิสผู้เขียนหนังสือ "นักรบ...สนามชีวิต" สนพ.โพสต์บุ๊กส์ www.postbooksonline.com นักพูดสร้างแรงบันดาลใจเชิงบวก