ไม่ใช่...ดวงดาวบันดาล
จากหนังสือขายดีกลายมาเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ หนังที่จะทำให้คุณร้องไห้ หลังจากน้ำตาแห้งแล้ว
โดย...แหนง-ดู
จากหนังสือขายดีกลายมาเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ หนังที่จะทำให้คุณร้องไห้ หลังจากน้ำตาแห้งแล้ว คุณก็จะยังปวดร้าวในอก และเริ่มต้นครุ่นคิดถึง (บาง) ความจริงในชีวิต
The Fault in Our Stars เป็นหนึ่งในหนังสุดประทับใจของปี 2014 สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันของจอห์น กรีน (นำมาแปลเป็นภาษาไทยโดย เขมรินทร์ พงษ์สุวรรณ ในชื่อดาวบันดาล) ชื่อหนังสือเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากประโยคหนึ่งในบทละครเชกสเปียร์เรื่อง Julius Caesar เมื่อแคสซิอุสบอกบรูตัสว่า “อันความผิดมิตรเอยเฉลยเอา ใช่ดวงดาวพราวเพราเจ้าบันดาล” (แปลเป็นภาษาไทยโดย ทวีปวร ศิลปินแห่งชาติ) หนังสือเล่มนี้ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์มากมาย ด้วยเรื่องราวที่เจืออารมณ์เศร้าสร้อย ผสมอ่อนหวาน ทั้งขบขันและลึกซึ้ง ก่อนจะถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โดยผู้กำกับชาวอเมริกัน จอช บูน นำแสดงโดยดาราดาวรุ่ง เชลีน วู้ดลีย์ และแอนเซล อัลกอร์ท
เล่าถึง เฮเซล เด็กสาววัย 16 ปี ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง หลังถูกพ่อแม่คะยั้นคะยอ เธอเข้าร่วมกลุ่มช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็ง ก่อนจะได้พบกับออกัสตัส อดีตนักกีฬาบาสเกตบอลอายุ 17 ปี ซึ่งเป็นมะเร็งจนต้องตัดขาข้างหนึ่ง ช่วงเวลาที่ 2 คนพิเศษได้รู้จัก พวกเขาแบ่งปันประสบการณ์ ความคิด ความรู้สึกเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่และ ...ความรัก
เรื่องราวของเฮเซลและออกัสตัสเป็นสากลที่ไม่กีดกั้นด้วยวัย เชื้อชาติ สถานะ หรือสิ่งอื่นใด ตัวละครเอกของ The Fault in Our Stars ทำให้เราได้กลับไปคิดถึงช่วงเวลาแห่งการค้นหาตัวเอง เป้าประสงค์ในชีวิตซึ่งเคยตั้งไว้และยังไปไม่ถึง รวมทั้งหน้าที่ของเราซึ่งมีต่อคนอื่น หรือแม้แต่การใคร่ครวญถึงความหมายที่แท้ของความรัก
หนังและหนังสือ The Fault in Our Stars ทำให้เราเลิกค้นหาคำตอบกับบางเรื่อง แล้วจึงเริ่มต้นใช้ชีวิตไปทั้งๆ ที่ยังมีคำถาม เพราะเราไม่สามารถรู้ได้จริงๆ ว่า อะไรรอคอยอยู่อนาคต ถึงแม้จะมีบางขณะที่ฉงนสงสัย “มันจะเป็นยังไง ถ้า...” แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิต ความตาย ความรัก การสูญเสีย หรืออื่นๆ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ ถักทอผืนผ้าของชีวิตไปทีละเส้นด้าย
ไม่ว่าเราจะครุ่นคิดเกี่ยวกับตัวเองในอนาคตมากเท่าไหร่ คำตอบก็จะไม่ปรากฏขึ้นทันทีตรงนี้ โดยไม่รู้ว่าต้องรอนานเท่าไหร่ หรือเราอาจจะไม่ได้คำตอบในเรื่องนี้เลยตลอดทั้งชีวิต เช่นเดียวกับเฮเซลและกัส แม้พวกเขาจะเคยมีเครื่องหมายคำถามเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง แต่พวกเราก็ได้เรียนรู้ที่จะโอบกอดต้อนรับเรื่องไม่แน่นอนซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า
เพราะว่าอนาคตยังคงเป็นปริศนา เราจึงควรต้องหวงแหนเวลาไว้เพื่อใช้ชีวิตในปัจจุบัน ตอนหนึ่งของหนัง เฮเซล พูดว่า “ความไม่สิ้นสุดบางอันนั้นใหญ่กว่าความไม่สิ้นสุดอื่นๆ ...” สาวน้อยได้ใช้ความไม่สิ้นสุดเล็กๆ ของเธอกับกัส “ฉันไม่สามารถบอกได้ว่า ฉันรู้สึกยินดีแค่ไหนกับความไม่สิ้นสุดเล็กๆ ของเรา ฉันจะไม่ยอมแลกมันกับอะไรในโลกนี้ เธอให้ชั่วนิรันดร์กับฉันในเวลาไม่กี่วัน และฉันก็ซาบซึ้งใจ…”
ไม่ว่าเราจะยืนอยู่บนจุดไหนบนโลกใบนี้ จงมีความสุขกับมัน ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าและดีกว่าอยู่ที่ไหนสักหนแห่ง แต่ถ้าเรารู้สึกเพียงพอกับชั่วขณะเวลานี้ เราก็จะมีความสุข เรียนรู้ที่จะขอบคุณและชื่นชมทุกสิ่งอย่างซึ่งเรามีที่เราเป็น แทนที่จะไปเศร้าสลดและครุ่นคิดถึงในสิ่งที่เราไม่มีหรือไม่ได้เป็น
จุดที่บางคนยืนอยู่อาจจะยากลำบาก แต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้สบายกว่า ขณะที่บางคนต้องต่อสู้กับโรคมะเร็ง บางต้องดิ้นรนทำงานหาเงิน บางคนต้องฝ่าฟันเพื่อเกรดการศึกษา ฯลฯ เราทุกคนต่างต้องเผชิญและรับมือกับความจริงบนโลกนี้ เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
ทุกขณะของการดำรงอยู่จะมีเหตุการณ์ เรื่องราว หรือผู้คนที่ผ่านเข้ามา สิ่งต่างๆ หรือคนเหล่านั้นอาจจะผ่านเข้ามาเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต เราจึงควรต้อนรับและจัดการอย่างเต็มที่ที่สุดในขณะนั้น
เพราะว่าโลกไม่สามารถให้ทุกอย่างที่เราต้องการได้ทั้งหมด ถึงเราจะกู่ก้องร้องว่า “โลกไม่ยุติธรรม” แต่ความจริงก็คงจะไม่เปลี่ยน แต่ความหวังก็ยังคงมีอยู่ ที่สุดแล้วความยิ่งใหญ่ของชีวิตอาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาสั้นหรือยาวซึ่งเราได้มาอยู่บนโลกนี้ แต่ขึ้นอยู่กับว่า เราทำอย่างไรกับเวลาในขณะนั้นๆ
เมื่อได้ทำทุกสิ่งอย่างเต็มที่ก็จะไม่มีวันที่เราจะเสียใจ และไม่ต้องไปโทษโชคชะตาหรือดวงดาว